Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 192 อสรพิษครึ่งคน

Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์

ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 192 อสรพิษครึ่งคน

บทที่ 192 อสรพิษครึ่งคน

 

ยามราตรีปกคลุมทั่วท้องฟ้ากลุ่มคนทั้งหกตั้งค่ายพํานักชั่วคราวในปาหมื่นอสูร

ตลอดทั้งวันพวกเขาเผชิญอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าและได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจึงโหยหาการพักผ่อนร่างกายอย่างเร่งด่วน

หลิวหงนอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มโดยมีสมบัติล้ําค่าซ่อนอยู่ข้างกายหลายหลาก ครั้นหยิบก้อนผลึกมนุษย์ขึ้นพินิจใกล้ๆ หัวใจยิ่งรู้สึกอิ่มเอิบจนไม่อาจรีรอถึงรุ่งเช้าได้อีกต่อไป ผ่านไปค่อนคืนนางจึงเรียกทุกคนมารวมตัวทันที!

 

“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ครู่นี้ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของท่านพ่อที่พัดโชยมาจากยอดเขาหลังปาหมื่นอสูรอีกคราแล้ว ท่านคงเผชิญอันตรายร้ายแรงเป็นแน่พลังปราณจึงอ่อนกําลังลงเรื่อยๆ หากเราไม่เร่งช่วยเหลือเห็นที่ทุกอย่างอาจสายเกินแก้ คืนนี้ แสงจันทร์สว่างพอเห็นเส้นทางอยู่รําไร พวกเราเริ่มออกสํารวจตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่?” หลิวหงกล่าวเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ําละห้อยอย่างน่าสงสาร

หากนางบอกเหตุผลตามตรงว่าจะออกเดินทางเพื่อตามล่าอสูรหินและค้นหาก้อนผลึกเพิ่มเติมทุกคนย่อมไม่เห็นด้วย แต่เมื่อยกเหตุผลเรื่องการตามหาบิดาเป็นข้ออ้างผู้ใดเล่าจะกล้าปฏิเสธ?!

 

การจับจุดอ่อนของมนุษย์และคิดวางแผนเล่นกับความรู้สึกผู้อื่น เป็นสิ่งที่นางชํานาญยิ่ง!

 

“ข้าเห็นควรด้วย!”

 

“การออกสํารวจในยามค่ําคืนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง!”

 

ผลตอบรับเป็นจริงดังคาด….หนาซาน หนาสุ่ยและพ์ใหญ่สู่น้อมรับการตัดสินใจของนางอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ส่วนโท่วปาเซียงเนียวยังนิ่งเงียบพร้อมเผยสีหน้าลังเล

ปาหมื่นอสูรช่วงกลางวันยังมีอันตรายมหาศาล หากเดินสํารวจในช่วงกลางคืนแล้วพบพานอสูรหินที่แข็งแกร่งกว่าหลายเท่าจะรับมืออย่างไรไหว?!

หัวใจของหญิงสาวศิษย์สํานักเครื่องนิลหนักอึ้ง แต่เมื่อเห็นศิษย์สองพี่น้องแซ่หนาและพี่ใหญ่ลุ่ตกลงปลงใจไปในทิศทางเดียวกัน เช่นนั้นนางจะตัดสินใจอย่างไรได้อีก

“คุณชายเยี่ย…ท่านคิดเห็นเช่นไร?”

 

หลิวหงหันไปหาเยี่ยฉวนเมื่อมีเพียงเขาที่ยังไม่ตอบคําถาม ดวงตาคู่งามฉายแววหม่นแสง

“แล้วแต่การตัดสินใจของเจ้าเถิด ถึงตอนนี้คําพูดของข้าคงไร้ความสําคัญ” จริงดังที่หลิวหงคิด เยี่ยฉวนไม่แสดงความเห็นต่างแต่อย่างใด

“เช่นนี้ก็ได้ข้อสรุปแล้ว! ทว่ายามค่ําคืนแตกต่างจากช่วงกลางวันมากนัก การออกสํารวจจะยิ่งอันตรายขึ้น ดังนั้นข้าใคร่เปลี่ยนแผนบางประการ…”

หลิวหงกวาดสายตาไล่มองไปที่ละคนก่อนลดระดับเสียงลงพร้อมกล่าวต่อ “เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการจู่โจมอย่างกะทันหันจากเหล่าอสูรหิน กลุ่มของเราต้องมีผู้หนึ่งที่รับหน้าที่สํารวจเส้นทาง ทุกระยะสิบลี้ห้าจะทําหน้าที่เสาะหาบริเวณที่เหมาะสมในการวางแนวป้องกัน ส่วนอีกหนึ่งคนล่วงหน้าไปสํารวจเส้นทางสิบลี้ข้างหน้า หากไร้อันตรายพวกเราที่เหลือจะติดตามไป ครั้นพบอสูรหินจงหลอกล่อให้มันตามกลับไปยังแนวซุ่มโจมตี ข้าจะอยู่ตรงกลางเพื่อสังหาร…พี่ใหญ่ลู่เป็นทัพหน้า หนาซาน หนาสู่ยและโท่วปาเซียงเนียวเป็นกองหนุน ส่วนเยี่ยฉวนท่านรับหน้าที่เป็นผู้สํารวจเส้นทางดีหรือไม่?”

 

ความเงียบแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เยี่ยฉวนอย่างรอคอย…

แผนการของหลิวหงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจ รักษาคนทั้งกลุ่มให้ปลอดภัยแต่ส่งหนึ่งคนไปเผชิญอันตรายเพียงลําพัง หนําซ้ํายังเจาะจงว่าต้องเป็นเยี่ยฉวนเท่านั้น หน้าที่หลักคือสํารวจเส้นทาง…ทั้งยังต้องคอยระวังตัวการถูกจู่โจมจากอสูรหินที่ดุร้าย ยังไม่รวมถึงสัตว์อสูรต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ครั้นพบอสูรหินเข้ายังต้องล่อกลับมายังพื้นที่เดิมเพื่อสังหาร ภารกิจที่ได้รับไม่ต่างอันใดกับการเอาชีวิตตนเข้าเสี่ยงโดยไร้ประโยชน์:

 

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ข้าจะล่วงหน้าไปเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเตรียมวางแนวป้องกันเถิด”

 

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับก่อนหมุนตัวกลับ และวิ่งหายลับเข้าไปในผืนป่าอันมืดมิดโดยพลัน!

 

หลิวหงและกลุ่มคนที่เหลืออยู่นิ่งอึ้งอย่างตกตะลึงในความบ้าบิ่นของอีกฝ่าย!

 

เดิมที่หลิวหงคิดว่าเยี่ยฉวนจะต้องมีข้อกังขาเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา จึงเตรียมถ้อยคําหว่านล้อมต่างๆไว้มากมาย หากท้ายที่สุด เขายังยืนกรานปฏิเสธเช่นเดิมนางคงจนปัญญา และอาจใช้วิธีนําสมบัติล้ําค่าที่ยังไร้ตัวตนที่จับต้องได้มาหลอกล่อ แต่แล้วกลับประหลาดใจที่อีกฝ่ายว่าง่ายกว่าที่คิด

“ฮ่ม! ไอ้เด็กเหลือขอนั่นคงเบื่อชีวิตแล้วสินะจึงไม่กลัวตายเช่นนี้!”

หนาสุ่ยผู้เหลือขาเพียงข้างเดียวพ่นลมหายใจแรงพร้อมเผยสีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชาพร้อมตั้งตารอความตายของเยี่ยฉวนอย่างจุดจ่อ

 

“เปล่าหรอก!”

หนาซานกล่าวด้วยน้ําเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าไอ้เด็กนั่นใช้โอกาสนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่า มันเสียสติไปแล้ว!”

 

ศิษย์แห่งสํานักเบญจลักษณ์มองออกว่าหญิงสาวที่ตนหลงใหล ร้อนใจอยากค้นหาสมบัติเพิ่มเติม จึงวางหมวกใบใหญ่ไว้บนศีรษะเยี่ยฉวนเพื่อให้นางโกรธเกลียดคนผู้นั้นยิ่งขึ้น!

*หมวกใบใหญ่ = ใส่ร้ายป้ายสี

“พอแล้ว! อย่าพล่ามวาจาให้มากความเข้าประจําตําแหน่งและทําหน้าที่ของพวกเจ้าเสีย!”

หลิวหงลูกยืนขึ้นด้วยท่วงท่าบอบบางทรงเสน่ห์เช่นเคย ทว่าใบหน้าผุดผ่องกลับเรียบตึงฉายแววเย็นเยือก

 

ห่างจากจุดพํานักไม่ไกลนัก เยี่ยฉวนซึ่งหลบอยู่หลังหินก้อนยักษ์ ภายใต้บรรยากาศมืดสลัวยามค่ําคืนเผยสีหน้าเย็นชาขณะลอบสังเกตหลิวหงและคนอื่นๆ ที่ออกจากกระโจมและแยกย้ายไปทําหน้าที่เขาเหยียดยิ้มอีกครั้งก่อนย่องเบาจากไป

 

เขารอคอยการผลัดเวรยามระหว่างหนาซานและหนาสู่ยในช่วงกลางคืนอย่างจดจ่อเพื่อที่ตนจะได้มีอิสระ แต่การแยกตัวออกมาเพียงลําพังเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาทั้งวัน

ที่ผ่านมาเมื่อกลุ่มของเขาตามล่าอสูรหินและสังหารมันทิ้งจนได้ รับสมบัติล้ําค่าที่อยู่ภายใน สิ่งดีๆทั้งหมดล้วนตกเป็นของหลิวหงทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นการปลีกตัวออกสํารวจเพียงลําพังในคืนนี้จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่ง!

 

เยี่ยฉวนกระโดดลงจากผาหินสู่เส้นทางแคบๆ โดยให้แสงจันทร์พร่ามัวคอยส่องสว่าง ฝีเท้าเบาหวิวพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงราวติดปีก เทียบกับช่วงกลางวันแล้วการเคลื่อนไหวของเขาตอนนี้รวดเร็วกว่าหลายเท่า อันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ในมุมมืดไม่ทําให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ตอนรวมกลุ่มกับหลิวหงและคนอื่นๆ เขารู้สึกกังวลไม่น้อยในการปกปิดทักษะของตน หากสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ เขาก็ไม่อาจเคลื่อนไหว แต่เมื่อลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตนเองทุกสิ่งย่อมแตกต่างไปจากเดิม แม้ขั้นการฝึกตนของเขาไม่สูงส่งทั้งยังอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ทว่ายันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสี่ใบที่หมุนวนอยู่ในร่างเสริมสร้างความมั่นใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง!

 

ช่วงเวลาหลังพลบค่ําละอองหมอกสีเทาทวีความหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ป่าหมื่นอสูรปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด หากสังเกตจากมุมสูงจะพบว่าภูมิประเทศโดยรอบคล้ายคลึงกับสุสานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกองหิน

เยี่ยฉวนพุ่งตัวไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงผ่านเส้นทางแคบและคดเคี้ยวไปไกลโขกระทั่งที่พํานักของหลิวหงและคนอื่นที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นจุดเล็กๆ ครั้นคาดคะเนว่าเดินมาไกลเป็นระยะสิบลี้ แล้วจึงชะลอฝีเท้าลงและกวาดสายตาสํารวจโดยรอบ

ด้านหน้ามีหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่ริมทางลาดเอียง ทันใดนั้นเสียงสั่นสะเทือนพลันดังขึ้นพร้อมกับรอยร้าวบนพื้นผิวที่ปริแตกอย่างช้าๆจนระเบิดออก

 

มันคืออสุรกายประเภทใดกัน?!

 

งูหลามที่ลําตัวหัวจรดหางเป็นหินแข็งกระด้างทว่าส่วนหัวเป็นมนุษย์!?

รูม่านตาของชายหนุ่มหดตัวเล็กลงอย่างฉับพลัน ขนทุกเส้นบนร่างลุกเกรียวด้วยความสะพรึงยิ่ง!

 

ตั้งแต่หลุดเข้ามาในปาหมื่นอสูรและพบเจออสุรกายที่ระเบิดออกจากก้อนหินนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่ผ่านมาพวกเขาพบเพียงอสูรหินที่มีกายเป็นมนุษย์และหัวเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบอสูรหินที่มีลักษณะทางกายภาพสลับกัน รูปร่างของมันน่าสยดสยองเสียจนไม่อาจจ้องมองเป็นเวลานาน หนังศีรษะชาวาบขึ้นมาทันที!

 

ทันใดนั้นช่องว่างระหว่างคิ้วของเยี่ยฉวนพลันกระตุกโดยแรงหลายครั้ง โคมบงกชสีครามเพิ่มอุณหภูมิขึ้นจนร้อนจัดเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าพบเจอกับสมบัติล้ําค่าบางชิ้นตรงหน้า!

หากใช้สายตามองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกหวาดกลัวด้วยรู้ว่าอสรพิษครึ่งคนตัวนี้ร้ายกาจเกินรับมือ ทว่าสัญชาตญาณของชายหนุ่มทําให้มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าภายในร่างของมันต้องมีสมบัติบางชิ้นถูกผนึกไว้ ไม่แน่ว่ามันอาจมีคุณสมบัติล้ําเลิศหาใดเปรียบยิ่งกว่าก้อนผลึกมนุษย์ทั้งสองชิ้นที่หลิวหงมีในครอบครองรวมกันเสียอีก

 

ครั้นทบทวนแล้วจึงตัดสินใจกระทําการบางอย่าง เขาไม่ได้หาทางหลอกล่ออสรพิษครึ่งคนกลับไปทางแนวป้องกันของหลิวหงที่รอคอยอยู่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับเดินไปด้านหน้าที่ละก้าวเพื่อประจันหน้ากับมันโดยตรง!

ผอ.

 

อสรพิษครึ่งคนคอขึ้นพร้อมส่งเสียงขู่ ปลายหางยาวสะบัดขึ้นลงเล็กน้อยหมายโจมตีผู้บุกรุก

 

เยี่ยฉวนไม่ชะงักฝีเท้าแต่อย่างใด ใบมีดเล็กทั้งแปดที่ปรากฏขึ้น ระหว่างนิ้วมือสะท้อนแสงวาววับในความมืด เขากวัดแกว่งพวกมันไปมาขณะโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสี่และบริกรรมเคล็ดวิชาคืบอรุณอย่างเงียบเชียบ

หลังจากบรรลุสู่ขั้นซิวถือระดับที่สามทั้งร่างกายยังปรากฏการควบแน่นของยันต์กลืนกินสวรรค์ใบที่สี่ เขาใคร่ประลองกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพื่อทดสอบอานุภาพของพลังในครั้งนี้ อสรพิษครึ่งคนตนนี้แผ่ความอันตรายร้ายกาจออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ทว่ายิ่งโหดเหี้ยมเพียงใดเยี่ยฉวนยิ่งอยากต่อสู้มากขึ้นเท่านั้น เขาอยากรู้นักว่าระหว่างคมเขี้ยวของมันกับใบมีดทั้งเก้าสิ่งใดจะทรงพลังและรวดเร็วกว่า?!

อสรพิษหินส่งเสียงขู่อีกครั้งอย่างเกรี้ยวกราด ฝุ่นผงจากพื้นดินปลิวว่อนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เศษหินจํานวนมหาศาลพุ่งตรงมาทางเยี่ยฉวนโดยเร็ว!

 

อสรพิษครึ่งคนเริ่มทําการโจมตี! ทักษะของมันแตกต่างจากอสุรหินทุกตัวที่เขาเคยพานพบ นอกจากจะมีร่างกายที่เป็นหินแข็งคงกระพันฟันแทงไม่ตายยังมีเคล็ดวิชาทําลายล้างที่สูงส่งยิ่ง! บริเวณโดยรอบคลุ้งไปด้วยเศษหินและฝุ่นผงลอยตลบไปทั่วบดบังทัศนวิสัย เยี่ยฉวนไม่อาจคาดเดาได้ว่ากระบวนการโจมตีต่อไปของมันคืออะไรกันแน่?!

 

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness, 蛮荒风暴
Score 7.2
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2015 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทนำ ณ ห้องโถงใหญ่บนยอดเขาเมฆาอินทนิล…เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าและบรรดาลูกศิษย์ในสำนักนับพันชีวิตต่างจ้องมองไปทางเดียวกันอย่างไม่เชื่อสายตา! ทุกคนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้วในสุสานเทพเจ้าเมื่อสามเดือนก่อน! แม้แต่ผู้พิทักษ์ขั้นซิ่วฉือระดับห้ายังถูกลอบโจมตีจนสิ้นชีพ แล้วเหตุใดผู้ที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หนึ่งเช่นเขาจึงมีชีวิตรอดจากหายนะในภารกิจครั้งนั้น?! ใช่…เขาตายไปแล้ว… ‘เยี่ยฉวน’ คนเก่าจอมขลาดเขลาและเหยียมอายคนนั้นตายไปแล้ว! บัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือเยี่ยฉวนคนใหม่ที่ฝึกตนจนบรรลุขั้นอู่เจ๋อระดับสี่โดยใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน! เขาได้พบเคล็ดวิชาลึกลับ ‘ขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์’ จากสุสานเทพเจ้าโดยบังเอิญ วิชานี้มีพลานุภาพมหัศจรรย์เหนือกว่าเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์เสียอีก! หากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จต้องมีระดับขั้นการฝึกตนที่สูงกว่าภพชาติก่อนเป็นแน่! หรือบางทีอาจบรรลุถึงขั้นผู้อมตะแห่งเต๋าที่เป็นเพียงตำนาน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset