Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 201 อาณาเขตทรราชย์
บทที่ 201 อาณาเขตทรราชย์
เสียงนกร้องดังก้องกังวานไปทั่วฟ้า
วิหคทรราชย์ที่ทั้งร่างทำมาจากหินบินตรงมาอย่างดุร้าย กรงเล็บแหลมคมข้างหนึ่งไขว่คว้าก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าในมือของเยี่ยฉวนขณะที่อีกข้างพยายามจะขยุ้มศีรษะของเขาความแข็งแกร่งของมันเหนือชั้นกว่าอสูรหินตัวอื่นมาก หากขยุ้มศีรษะเขาได้สำเร็จคงผิวหนังฉีกขาดเป็นแน่
“เป็นแค่นกบ้าแล้วยังบังอาจแผลงฤทธิ์อีกงั้นหรือ?!”
เยี่ยฉวนเก็บโคมบงกชสีครามและยืนบนหินให้มั่น มือซ้ายกำก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าเอาไว้ขณะที่มือขวากำหมัดแน่น
ความเร็วของวิหคทรราชย์ช่างน่าทึ่ง มันบินมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยฉวนในชั่วพริบตา แต่ก่อนที่กรงเล็บคมจะถึงตัวเขา หน้าอกของมันกลับยุบลงฉับพลันด้วยไม่อาจต้านทานแรงหมัดของเยี่ยฉวน! ทั้งร่างกระเด็นออกไปราวกับว่าวที่ไร้สายป่านโดยที่กรงเล็บร้ายกาจไม่อาจแตะต้องแม้แต่ปลายผม!
หมัดของเยี่ยฉวนก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนอากาศกระเพื่อมและบิดเบี้ยว
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา กำปั้นของเขาว่องไวเสียจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
เสียงนกร้องดังกังวานขึ้นอีกครั้งเมื่อวิหคทรราชย์ทุ่งดิ่งลงมาจากที่สูง แต่แล้วกลับเปลี่ยนทิศทางฉับพลันทันทีที่เกือบถึงศีรษะของเยี่ยฉวนและปรากฏกายขึ้นข้างหลัง กรงเล็บคมกริบพุ่งเข้าหาอย่างดุดันหมายจะฉีกร่างให้เป็นชิ้นๆ!
วิหคทรราชย์ไม่เงอะงะและแข็งกระด้างเหมือนอสูรหินทั่วไป มันไม่เพียงปราดเปรียวและว่องไวหากแต่ยังฉลาดเป็นกรดราวกับจอมปีศาจ
แววตาของเยี่ยฉวนทอประกายดุดันขณะสูดลมหายใจเข้าลึกเขาไม่พยายามหลบในสถานการณ์คอขาดบาดตาย หากแต่หันหลังไปชกเข้าที่อกของวิหคทรราชย์อย่างรุนแรง ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าโคจรภายในร่างอย่างบ้าคลั่งพร้อมพลังกว่าเก้าหมื่นจินที่ปะทุออกมา!
ทั้งมนุษย์และนกร้องโอดครวญออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
จังหวะที่หันไปนั้นกรงเล็บของวิหคทรราชย์ฉีกเนื้อตรงหลังของเขาจนโชกเลือด ขณะที่อสูรร้ายก็สภาพไม่สู้ดีนัก แรงปะทะมหาศาลทำให้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นบนร่างตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงปีกก่อนจะร่วงหล่นลงจากฟ้า
“ฆ่ามัน!”
เยี่ยฉวนคำรามเกรี้ยวกราดพร้อมกระโดดลงจากโขดหินโดยไม่แยแสอาการบาดเจ็บที่หลังและออกหมัดซ้ำอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลหรือพลังงานจากโลกที่สูงส่งกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่ทำให้จิตสังหารเดือดพล่านถึงเพียงนี้ ส่วนลึกภายในจิตใจของเขากระหายเลือดและการต่อสู้ อีกทั้งยังอยากจัดการศัตรูด้วยวิธีปาเถื่อนอย่างการฉีกร่างให้เป็นชิ้นๆ ด้วยน้ำมือของตนเอง!
กลุ่มหมอกสีเทาเหนือปาหมื่นอสูรลงหนาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ อันตรายมากมายซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยกระแสพลังงานทรราชย์อันโหดเหี้ยม ยิ่งไปกว่านั้นอสูรหินนับไม่ถ้วนยังโผล่ออกมาจากก้อนหินและเพ่นพ่านไปทั่วเส้นทางคดเคี้ยวในปาหิน หลิวหง โท่วปาเซียงเนียว และ คนอื่นๆในฐานทัพชั่วคราวกายสั่นเทาพร้อมนัยน์ตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเยี่ยฉวนผู้อยู่ระหว่างการต่อสู้กลับไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงต่อยหัวของวิหคทรราชย์อย่างโหดเหี้ยมด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี อสูรหินส่งเสียงร้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นใจพร้อมก้อนผลึกสีแดงค่ำกลิ้งออกมาจากร่าง เยี่ยฉวนหยิบขึ้นมาพินิจดูและพบว่าก้อนผลึกเล็กนี้ไม่ได้จารึกเคล็ดวิชาหรือซุกซ่อนความลึกซึ้งอื่นใดเอาไว้ เป็นเพียงก้อนพลังงานบริสุทธิ์มหาศาลที่แตกต่างจากก้อนผลึกมนุษย์ที่พบก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
เสียงร้องของนกดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงจึงพบวิหคทรราชย์กลุ่มหนึ่งอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นทิ้งตัวดิ่งลงมาหาเขาขณะที่ตัวอื่นๆ บินไปทางฐานทัพชั่วคราวที่หลิวหงและพรรคพวกอยู่ เขารีบจัดการวิหคทรราชย์ตัวที่เข้าจู่โจมและเร่งรุดไปยังฐานทัพชั่วคราวทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าหลิวหงและคนอื่นๆ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังจากการโจมตีของอสูรหินกลุ่มใหญ่อยู่ก่อนแล้ว เหล่าอสูรบนพื้นดินและฝูงวิหคทรราชย์บนฟ้าทั้งหมดสิบตัวกำลังล้อมพวกเขาเอาไว้
เยี่ยฉวนเตรียมลงมือเพื่อช่วยเหลือพวกเขาแต่จู่ๆ ก็สังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติ
“เอ๊ะ มีบางสิ่งผิดปกติ ทุกคนกำลังถูกครอบงำ หรือนี่จะเป็นพลังของอาณาเขต!”
คนทั้งห้ารวมถึงหลิวหงกำลังต่อสู้สุดตัวในฐานทัพชั่วคราว ดวงตาของทุกคนเป็นสีแดงฉาน แม้แต่โท่วปาเซียงเนียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูราวกับนกน้อยก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อเข่นฆ่าเหล่าอสูรโดยไม่ระวังความปลอดภัยแม้แต่น้อย แม้ทั้งร่างจะชุ่มโชกไปด้วยเลือดแต่กลับไม่คิดถอยหนีและหลับหูหลับตาพุ่งเข้าใส่อสูรหินจำนวนมากอย่างไม่ ลดละนี่ไม่ใช่การยืนหยัดต่อสู้ หากแต่เป็นการถูกครอบงำ พวกเขาค่อยๆ สูญเสียสติสัมปชัญญะไปที่ละน้อย
เยี่ยฉวนครุ่นคิดอย่างใจเย็นก่อนจะตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในปาหมื่นอสูรทันที ดูเหมือนว่าเขาบังเอิญเรียกใช้งานอาณาเขตของปาหมื่นอสูรโดยไม่รู้ตัวขณะที่หยั่งรู้ความลับของก้อนผลึกสีฟ้าและส่งดวงจิตไปแตะขอบโลกที่สูงส่งกว่าสวรรค์ ตอนนี้อสูรหินกำลังหลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง หากหลิวหงและคนอื่นๆ ยังสู้อย่างบ้าบินเช่นนี้ต่อไปคงตายกันหมดแน่!
ฉับพลันเยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นร้องดังก้องประหนึ่งเสียงคำรามของพยัคฆ์และมังกรจนสั่นสะเทือนไปทั้งผืนปา
“เกิดอะไรขึ้น? อสูรหินมากมายพวกนี้มาจากที่ใดกัน?”
“หนีเร็วคุณชายเยี่ย! เร็วเข้า!”
หลิวหงและคนอื่นๆ กายสั่นสะท้านและใบหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของพวกเขากลับมาเป็นปกติแล้ว หลิวหงยังคงเป็นผู้ที่ตอบสนองได้เร็วที่สุด นางขึ้นเหยียบกระบี่บินตามสัญชาตญาณและพุ่งไปทางเยี่ยฉวนโดยมีโท่วปาเซียงเนียวและคนอื่นตามมาติดๆ
“เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในปาหมื่นอสูรแห่งนี้ ไปกันเถอะ! รีบวิ่งไปให้สุดทาง ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี!”
เยี่ยฉวนไม่มีเวลาสาธยาย เขาพุ่งไปข้างหน้าทันทีแต่วิหคทรราชย์กลับขวางทางเอาไว้ หมัดของเยี่ยฉวนจึงส่งมันลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่กรงเล็บคมกริบจะเข้าจู่โจม
เยี่ยฉวนปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเอาไว้ตั้งแต่รวมกลุ่มเข้ามาในปาหมื่นอสูรเพื่อปล่อยให้หลิวหงและพี่น้องแซ่หนาแผลงฤทธิ์ได้ตามใจ แต่เขาไม่อาจซ่อนเร้นมันไว้อีกต่อไปในสถานการณ์คับขันเช่นนี้
สีหน้าของหลิวหง หนาซาน และหนาสู่ยแปรเปลี่ยนขณะมองดูเยี่ยฉวนอย่างไม่เชื่อสวายตา
ก่อนหน้านี้แม้พวกเขาจะรวมพลังกันก็ไม่อาจปลิดชีพวิหคทรราชย์ได้ แต่การชกธรรมดาเพียงหมัดเดียวของเยี่ยฉวนกลับทำให้ร่างของมันกระเด็นไปได้เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?!
เด็กคนนี้มีความลับซ่อนอยู่อย่างแน่นอน!
คนทั้งห้ามีท่าทีที่ต่างกันออกไป แววตาของศิษย์พี่ลู่และโท่วป่าเซียงเพียวเป็นประกายด้วยความหวังว่าจะหนีรอดจากสถานการณ์เลวร้ายไปได้ พี่น้องแซ่หนากายสั่นเทิ้มพร้อมร่องรอยความหวาดกลัวและกระอักกระอ่วนที่ฉายชัดในแววตา ส่วนหลิวหงนั้นเผยสีหน้าซับซ้อน นางคึกคะนองและอึกเหิมอย่างมากหลังฝึกฝนเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามได้สำเร็จโดยหวังจะเป็นเลิศในเทือกเขาหมอกเมฆา แต่เยี่ยฉวนกลับทำให้ความฝันอันงดงามของนางต้องพังทลายลง
“หนี! หนีเร็วเข้า! หากไม่อยากตายก็เร่งฝีเท้าซะ!”
เยี่ยฉวนหนีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง
เขามีลางสังหรณ์ว่าอาณาเขตของปาหมื่นอสูรแค่เริ่มต้นเท่านั้นอสูรหินที่ทรงพลังกว่านี้นับร้อยนับพันเท่าจะทยอยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่จากไปเสียตอนนี้แม้แต่ปรมาจารย์แห่งเต๋าก็ไม่อาจมีชีวิตรอด!
“หนี!”
หลิวหงและคนอื่นๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้งก่อนเร่งฝีเท้าตามเยี่ยฉวนให้ทัน แม้จะเหยียบอยู่บนกระบี่บินก็ทำความเร็วได้เพียงเทียบเท่าเยี่ยฉวนผู้วิ่งกรุยทางอย่างยากลำบากเท่านั้น โท่วปาเซียงเนียวยังพอเหยียบกระบี่บินเร่งตามไปได้ แต่ศิษย์พี่ลู่ที่กระโดดไปตามโขดหินเช่นเดียวกับเยี่ยฉวนเริ่มเป็นกังวลเพราะเขาเชื่องช้ากว่ามาก แม้จะทิ้งค้อนหนักอึ้งที่ได้รับมาก็ยังไม่อาจตามทันและค่อยๆ ถูกทิ้งห่างไว้เบื้องหลัง