บทที่ 30 แขกไม่ได้รับเชิญ
เสียงฝีเท้าปริศนาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นจึงหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนอ้อมไปยังประตูด้านหลัง…
เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิบนพื้นทำเป็นไม่รับรู้เหตุการณ์รอบข้างทว่าได้ยินเสียงอย่างชัดเจนพร้อมคาดคะเนความสูงและน้ำหนักจากเสียงฝีเท้า พบว่าแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นมีรูปร่างสูงกำยำและมีพละกำลังพอสมควร เขาจึงส่งดวงจิตออกไปตรวจสอบ
บุคคลนั้นมีลักษณะสูงโปร่งดังคาด เขาสวมชุดคลุมยาวเช่นเดียวกับศิษย์ของสำนักหมอกเมฆา ผูกผ้าสีดำชิ้นหนึ่งปิดบังใบหน้าไว้ พินิจอย่างถี่ถ้วนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าชายผู้นั้นบรรลุการฝึกตนเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หกเท่านั้นทั้งยังห่างไกลจากความเป็นยอดฝีมือนัก!
จินจื่อคุนเสียสติหรืออย่างไรจึงส่งสาวกที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หกมาจัดการเขา!
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เยี่ยฉวนไม่คาดคิด เขาลุกขึ้นพร้อมกระโดดออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว!
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงปีนข้ามกำแพงเข้ามาในตัวเรือนพลางย่องเบาและกวาดสายตาสอดส่องโดยรอบ แม้ระมัดระวังเท่าไรแต่เขาก็เผลอทำขวดบรรจุสมุนไพรที่วางไว้ล้มระเนระนาด เยี่ยฉวนที่ลอบเดินตามส่ายศีรษะเมื่อเห็นดังนั้น
ไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องตำรา…
ห้องปรุงยาว่างเปล่า มีเพียงยาเม็ดและสมุนไพรที่บรรจุในขวดโหลเท่านั้น…
แม้แต่ห้องนอนก็ไม่มีผู้ใด!
ชายร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น ภายใต้แสงจันทร์สลัวเขาค้นหาจนทั่วยอดเขาเมฆาอินทนิลแต่กลับไม่พบผู้ใดแม้แต่คนเดียว
“ศิษย์น้อง ตามหาข้าอยู่หรือ?!”
เยี่ยฉวนปรากฏตัวขึ้นพร้อมตบไหล่ชายร่างสูง เขาลอบเดินตามมาสักพักแล้วแต่ไม่มีท่าทีว่าแขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้จะไหวตัวทันแม้แต่น้อย
“เหวอ…”
ชายผู้นั้นกระโดดโหยงพลางแผดเสียงร้องดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อหันกลับไปจึงเห็นว่าผู้ที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับและตบไหล่ตนเป็นเยี่ยฉวน! ทันใดนั้นร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ “ศะ…ศิษย์พี่ใหญ่! ขะ-ข้า…”
“บอกชื่อแซ่มา…เจ้าเป็นศิษย์สังกัดหอใด?!” เยี่ยฉวนเอ่ยถามก่อนส่งสายตาคมกริบคาดคั้น
ชายผู้นั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว สายตาคู่นั้นดุดันยิ่งกว่าสายตาของอาวุโสสูงสุดเสียอีก! เขารีบตอบทันที “ขะ…ข้า กงซุนเยี่ย ปะ-เป็นศิษย์ในสังกัดหอแปรธาตุ…”
“อืม ชื่อเจ้าความหมายดี…ข้าชอบ บอกมา! ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาสังหารข้า?!” เยี่ยฉวนถามด้วยสายตาแข็งกร้าวพลางยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้ายก่อนกล่าวเสริม “ไม่สิ คำถามนี้ไม่ถูก แมวขี้ขลาดเช่นเจ้าไม่สามารถสังหารผู้ใดได้หรอก ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่แต่จงตระหนักไว้ว่าผู้ที่ส่งเจ้ามาต้องการให้เจ้าตายด้วยน้ำมือของข้าผู้นี้แหละ!”
“มะ-ไม่ศิษย์พี่ใหญ่! ขะ-ข้า ปะ-เปล่า…”
กงซุนเยี่ยกระวนกระวายจนพูดติดอ่าง ถ้อยคำของเขาทั้งสับสนและยุ่งเหยิง
แม้ร่างกายของเขาสูงโปร่งกว่าเยี่ยฉวนแต่กลับมีท่าทางหวาดผวาและสั่นสะท้านไม่หยุุดราวหนูที่พบแมว
“สังหารเจ้าไปก็เปล่าประโยชน์…กลับไปฝึกตนซะ!”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะก่อนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์พร้อมเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไปนอกกำแพง ปัง! ร่างของกงซุนเย่ผู้แข็งแกร่งกระเด็นออกอย่างรุนแรงราวว่าวที่บินสูงแต่เชือกขาดผึงโดยกะทันหัน เขาแผดเสียงร้องโอดโอยดังลั่นและพยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างตื่นตระหนก! เยี่ยฉวนปัดฝ่ามือทั้งสองเป็นเชิงเสร็จการก่อนเข้าไปในห้องตำราเพื่อทำการฝึกตนต่อ…
บรรยากาศช่วงก่อนรุ่งสางมืดมนและหนาวเหน็บกว่ายามอื่น สายลมร้องหวีดหวิวทั้งยังพัดโชยความหนาวเย็นจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูกดำ
เยี่ยฉวนไม่แยแสเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าเขานั่งลงได้เพียงครู่เดียวก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกอีกครั้ง!
ยังไม่หลาบจำอีกรึ?!
เยี่ยฉวนขบกรามแน่น สีหน้าแปรเป็นเย็นชา
แขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวบนลานกว้างของยอดเขาเมฆาอินทนิลอีกครั้ง รอบนี้ไม่ใช่กงซุนเย่แต่เป็นชายร่างเตี้ยม่อต้อผู้บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หกเช่นเดียวกัน สังเกตจากการกระโดดข้ามกำแพงแต่ละด้านจึงพบว่าร่างกายของเขามีความยืดหยุ่นยิ่ง!
เยี่ยฉวนพิจารณาชายผู้นั้นอย่างถี่ถ้วน ทว่ารอบนี้เขาเกียจคร้านที่จะออกไปประจันหน้า ไวเท่าความคิด…ราชันจักจั่นทองคำจึงบินนำแมลงวันอสูรฝูงใหญ่พุ่งตรงมา!
แขกไม่ได้รับเชิญร้องอุทานอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นฝูงแมลงวันอสูรพุ่งตรงเข้าหาตน พริบตาเดียวพวกมันบินวนราวพายุหมุนปกคลุมร่างของเขาโดยเร็วจนเสียหลักล้มกลิ้งลงไปกับพื้น ชายร่างเตี้ยล้มลุกคลุกคลานกลับออกไปพร้อมกับร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดและอับอายตลอดทาง ไม่ทันเผชิญหน้ากับเยี่ยฉวนร่างกายของเขาก็บาดเจ็บหนักเสียแล้ว!
“ใครว่าแมลงวันอสูรเหล่านี้เป็นผู้ทำลายเพียงอย่างเดียวล่ะ? พอนำมาใช้งานก็เกิดประโยชน์ไม่น้อย!”
เยี่ยฉวนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินชายผู้นั้นร้องโอดครวญ ทันใดนั้นเขาก็คิดแผนการบางอย่างออก…
แม้อาวุโสลำดับสองคร่ำหวอดอยู่กับการแก้ไขปัญหาการรุกรานจากแมลงวันอสูรตลอดทั้งวันทั้งคืนแต่ก็ไม่สามารถกำจัดได้จนหมดสิ้น พวกมันยังคงกัดกินต้นพืชสมุนไพรเช่นเดิม ก่อนหน้านี้เยี่ยฉวนคิดวิธีการไม่ตกเสียทีแต่ดูเหมือนจะมีหนทางจัดการกับปัญหานี้แล้วหลังจักจั่นป่าปีกทองคำตัวน้อยกลายร่างเป็นราชันจักจั่นทองคำสี่ปีก!
เยี่ยฉวนเกิดความคิดว่าหากสามารถขับไล่ฝูงแมลงวันอสูรออกไปยอดเขาเมฆาอินทนิลจึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง และหากเขาหาวิธีควบคุมพวกมันได้ ฝูงแมลงวันเหล่านั้นจะกลายเป็นบริวารและองครักษ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ากลุ่มผู้พิทักษ์เสียอีก!
คิดเช่นนั้นแล้วเยี่ยฉวนจึงเริ่มปฏิบัติการทันที เขาส่งกระแสจิตสั่งราชันจักจั่นทองคำให้บินวนไปรอบยอดเขาเพื่อต้อนแมลงวันอสูรให้รวมกลุ่มเป็นฝูงใหญ่ ทันทีที่มันปรากฏตัวเหนือลานกว้าง แมลงวันอสูรจากทั่วสารทิศแม้แต่ตัวที่หลบอยู่ในซอกหินและพุ่มไม้ก็กระพือปีกบินตามจนขนาดฝูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมทั่วท้องฟ้า!
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามการต้อนเหล่าแมลงวันอสูรให้รวมฝูงก็สำเร็จโดยราบรื่น ทั้งพวกมันยังรุมกัดแขกไม่ได้รับเชิญหลายคนที่พยายามบุกรุกยอดเขาเมฆาอินทนิลอย่างไม่ละเว้น!
คนเหล่านั้นต่างวิ่งหนีอลหม่านด้วยความตื่นตระหนกโดยที่เยี่ยฉวนไม่จำเป็นต้องลงแรงเองด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นเขาเกิดความฉงนระคนแปลกใจ…
มีชายนิรนามบุกเข้ามาหมายจัดการเขาหลายคนแต่ในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเลยที่แข็งแกร่ง นับเป็นเรื่องที่แปลกยิ่ง!
เยี่ยฉวนนั่งลงและเข้าสู่สมาธิ ดวงจิตของเขาค่อยๆ ล่องลอยออกจากร่างอย่างเงียบเชียบภายใต้การคุ้มครองจากโคมบงกชสีคราม เขาล่องลอยออกไปด้านนอกพลางสอดส่องรอบด้านอย่างระมัดระวัง ยันต์กลืนกินสวรรค์ในร่างของเขาควบแน่นและแข็งแกร่งขึ้นอย่างสมบูรณ์เมื่อเขาบรรลุขั้นอู่เจ๋อระดับที่หก เมื่อดวงจิตลอยออกมาด้านนอกเขาจึงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงและภยันตรายโดยรอบ!
ทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเครื่องนิลยังคงมีพลังปราณพุ่งทะยานขึ้นไปทางผืนมหาสมุทรอย่างบ้าคลั่งและอันตรายยิ่ง! ส่วนทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของหุบเขามังกรปีศาจแผ่จิตสังหารอานุภาพรุนแรงกว่าครั้งใดๆ ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวราวมีปีศาจร้ายกำลังจะผุดขึ้นจากก้นหุบเหวนั่น!
ปราณฉีช่างแข็งแกร่งนัก!
ลึกลงไปเบื้องล่างของหุบเขามังกรปีศาจมีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่?!
แม้เยี่ยฉวนเคยเป็นถึงมหาปราชญ์ผู้มากประสบการณ์ทว่าจิตสังหารรุนแรงที่แผ่ออกมาจากหุบเขามังกรปีศาจกลับทำให้เขารู้สึกตระหนกยิ่ง! ยามนี้เขาออกสำรวจโดยดวงจิตไม่ใช่กายหยาบจึงไม่สามารถสำรวจทั่วอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เขาเร่งลอยวนรอบลานกว้างบนยอดเขาเมฆาอินทนิลและกลับเข้าร่างทันที ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่างคล้ายกระแสจิตของเหอไท่ซวี ครั้นเขาต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดขึ้นกระแสจิตนั่นก็หายไป!
“เหอไท่ซวีอีกแล้ว! บรรดาแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านั้นคงถูกมันสั่งให้มาจัดการข้าสินะ! ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?!”
เขาลุกขึ้นพร้อมวิ่งตามร่องรอยกระแสจิตจางๆ ไปจนถึงเชิงเขาด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ทว่าเมื่อไปถึงกลับไม่พบผู้ใดอยู่ที่นั่นแม้แต่คนเดียว!