บทที่ 32 กฏของศิษย์พี่ใหญ่
ณ ศาลาลมวสันตฤดู เขตหอแปรธาตุ…
กงซุนเยี่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนภายในห้องที่มีปราณวิญญาณหนาแน่น
ค่ำคืนที่ผ่านมาหลังจากที่เขาถูกเยี่ยฉวนเหวี่ยงออกไปนอกกำแพงก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนกระอักเลือดหลายต่อหลายครั้ง เมื่อกลับถึงห้องโถงของหอแปรธาตุ พอล่วงไปค่อนคืนอาการเหล่านั้นยังไม่ดีขึ้นเขาจึงมาที่ห้องลับฟื้นพลังยุทธ์ในศาลาลมวสันตฤดูโดยหวังว่าจะได้รับพลังปราณวิญญาณมาช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
“เพี้ยะ! โอ๊ย! ได้โปรด…หยุดเถิดศิษย์พี่ใหญ่…”
เพี้ยะ! “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วนะขอรับ!”
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ! กงซุนเย่ลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นตลอดทาง ทั้งยังมีเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเสียงร่ำไห้โอดโอยอย่างเจ็บปวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ใดใจกล้าบ้าบิ่นบุกมาก่อเรื่องถึงหอแปรธาตุเช่นนี้? มันเบื่อหน่ายชีวิตแล้วงั้นหรือ?!
เขาโคลงศีรษะด้วยไม่คิดลุกไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกเพราะต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของตนให้หายดีเสียก่อน
แม้เขาไม่เข้าไปยุ่ง ทว่าเสียงฝีเท้ากลับเข้ามาใกล้ห้องฟื้นพลังยุทธ์ขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งมาเพื่อพบเขาโดยเฉพาะ!
“ผู้ใด?”
เขารู้สึกเป็นกังวลและกระสับกระส่ายขึ้นฉับพลัน!
ด้วยความที่หอแปรธาตุเป็นแกนกลางขับเคลื่อนหลักของสำนักหมอกเมฆา ทำให้บรรดาศิษย์ในสังกัดหอแปรธาตุเกิดความเหิมเกริมรังแกศิษย์สังกัดอื่นอยู่เนืองๆ จึงไม่มีผู้ใดกล้าแสดงท่าทางกระด้างกระเดื่องหรือกลั่นแกล้งศิษย์ในสังกัดของหอแปรธาตุเพราะไม่อยากสร้างปัญหายุ่งยากในภายหลัง
ปัง! ประตูถูกเตะจนเปิดออกอย่างรุนแรงจากด้านนอก ชายผู้ซึ่งกงซุนเย่รู้จักแต่ไม่คุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น!
“ไอ้หนู เจอกันอีกครั้งแล้ว!”
เยี่ยฉวนระเบิดหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะมองกุงซุนเยี่ยที่กำลังมีท่าทีกระสับกระส่าย “อาการบาดเจ็บของเจ้าหายเร็วเสียจริง…คงพร้อมรับการโจมตีได้บ้างแล้วสินะ!”
“ศะ…ศิษย์พี่ใหญ่?”
กงซุนเยี่ยตื่นตระหนกยิ่งด้วยไม่เชื่อสายตาว่าเยี่ยฉวนจะบุกมาเยือนเช่นนี้ “เจ้า เอ่อ…ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาทำอันใดที่นี่หรือ?”
“เปล่า! พอดีเพิ่งจะครบห้าวัน ข้าจึงใคร่ท้าประลองกับพวกเจ้าเพื่อดูว่าทักษะมีความก้าวหน้าหรือเกียจคร้านในการฝึกตนหรือไม่?! ศิษย์พี่ใหญ่เช่นข้านอกจากจะต้องฝึกฝนวิทยายุทธ์แล้ว ยังต้องสอดส่องดูแลศิษย์น้องเช่นพวกเจ้าอีกด้วย!” เยี่ยฉวนก้าวไปด้านหน้าพลางส่งยิ้มสดใสไร้พิษภัย รอยยิ้มนั้นเมื่อประดับอยู่บนใบหน้าของเขาให้ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยเป็นอย่างดีแต่หากพินิจอีกครั้งกลับเหมือนคนแปลกหน้า ทำให้กงซุนเยี่ยหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม!
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีทักษะการฝึกตนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินซ่อนตัวฝึกตนบนยอดเขามาโดยตลอด บัดนี้กลับลงจากยอดเขาที่พำนักและกรีดกรายในถิ่นอื่นอย่างเฉิดฉาย ทั้งยังเป็นฝ่ายท้าศิษย์ผู้อื่นเป็นคู่ประลองก่อน!
กงซุนเยี่ยรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิตจึงถอยกรูดไปจนชิดมุมห้องก่อนกล่าวออกอย่างติดอ่าง “ศะ…ศิษย์พี่ใหญ่ มะ-เมื่อวาน ขะ-ข้า…”
“ลืมเรื่องในอดีตเสีย วันนี้ข้าเพียงต้องการเลือกเจ้าเป็นคู่ประลอง อย่ากังวลไป…การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ทำให้เจ้าถึงตายหรอก หากเจ้าแพ้อย่างมากก็แค่แขนขาหักเท่านั้น!” เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้ายขณะก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมยกแส้เทวะขึ้นสูง จากนั้นเขาจึงเฆี่ยนตีอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้กล่าวคำใดอีก!
เสียงโอดครวญและโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังขึ้นทั่วบริเวณทันที!
ทหารอารักขาและบรรดาศิษย์ของหอแปรธาตุคนอื่นๆ กรูกันมาอย่างเร่งร้อนทันทีที่รู้ข่าว พวกเขามุงดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกห้องฟื้นพลังยุทธ์ด้วยร่างที่สั่นเทิ้มเพราะหวาดผวา ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปหยุดยั้ง พอเยี่ยฉวนเดินออกมาก็ไม่พบใครเพราะคนเหล่านั้นไม่กล้าเผชิญหน้าจึงหนีไปหลบซ่อนในห้องส่วนตัวของใครของมัน ปล่อยให้กงซุนเยี่ยนอนอ้าปากพะงาบร่างกายกระตุกอยู่กลางห้อง แขนขาของเขายังอยู่ครบทุกส่วนแต่ข้อต่อกลับบิดเบี้ยวผิดรูป
ช่างเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยม!
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับศิษย์พี่ใหญ่ผู้ถูกรังแกเป็นนิจจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ใดหรือไม่?!
ศิษย์หลายคนเผยสีหน้าซีดเผือด หัวใจเต้นรัว…
ไม่นานนักเสียงโหยหวนครวญครางอย่างเจ็บปวดดังขึ้นจากระยะไกลอีกครั้ง
เยี่ยฉวนยังไม่จากไปไหนแต่เดินไปเขตอื่นภายในหอแปรธาตุ จึงพบว่าแขกไม่ได้รับเชิญที่บุกรุกยอดเขาเมฆาอินทนิลเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นศิษย์ของหอแปรธาตุทั้งสิ้น เพราะสังเกตจากร่องรอยบาดแผลจากคมเขี้ยวของแมลงวันอสูรบนร่างกาย เขาลงโทษคนเหล่านั้นอย่างไร้ความปราณีเพื่อสั่งสอนให้หลาบจำ ครั้นเสร็จการแล้วจึงหมุนกายจากไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
ศิษย์พี่ใหญ่เปลี่ยนไปราวคนละคน!
ต่อไปนี้ไม่มีผู้ใดรังแกเขาได้อีกแล้ว…ผู้ที่กล้าท้าทายจะต้องถูกเขาทุบตีจนอับอายเป็นแน่!
ทหารองครักษ์และบรรดาศิษย์ที่เห็นกงซุนเยี่ยและคนอื่นๆ อยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนั้นจึงค่อยๆ ตระหนักว่าเหตุใดเยี่ยฉวนจึงตามคิดบัญชีคนเหล่านั้น พวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนไม่หลงเชื่อข่าวว่าเยี่ยฉวนมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่จนเกิดความโลภครอบงำให้กระทำการบุ่มบ่าม ไม่เช่นนั้นนอกจากจะไม่ได้สิ่งใดติดมือกลับมายังได้รับบาดเจ็บและอับอายขายหน้าอีกด้วย!
ตลอดเวลาที่เยี่ยฉวนมายังหอแปรธาตุ เขาไม่ปริปากเอ่ยว่าเป็นการแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนแม้แต่คำเดียว เขาท้าประลองคนเหล่านั้นอย่างเปิดเผยในฐานะศิษย์พี่และศิษย์น้องเท่านั้น แม้ที่นั่นมีศิษย์ผู้บรรลุขั้นซิวฉือหลายคน ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางหรือแก้ตัวแทนแต่อย่างใด ทำเพียงสังเกตการณ์การประลองดังกล่าวอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเขาเดินจากไป
ข่าวนี้แพร่กระจายเป็นวงกว้างจนไปถึงหูของเจ้าแห่งหอแปรธาตุอย่างรวดเร็ว จินจื่อคุนนั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงใหญ่ สีหน้าของเขาคล้ำหม่นและเคร่งเครียดเสียจนที่ปรึกษาเหอไท่ซวีรู้สึกกระวนกระวาย
“เหอไท่ซวี ไหนเจ้าบอกว่าจัดการได้?!”
จินจื่อคุนโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าคล้ำเข้มเป็นสีดำราวน้ำหมึก จิตสังหารอันรุนแรงแผ่กระจายโดยรอบ “เจ้าจะสังหารไอ้เด็กนั่นได้อย่างไร?! สถานการณ์เป็นเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าบุกรุกยอดเขาเมฆาอินทนิลอีกเป็นแน่!”
“ข้าน้อยมีอีกแผนการ! ท่านเจ้าหอ โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย…ไอ้เด็กบัดซบนั่นไม่อาจหนีความตายได้พ้นแน่!!”
เหอไท่ซวีใช้มือปาดหยดเหงื่อบนหน้าผากออก…ร่างกายของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเช่นกัน นึกถึงเยี่ยฉวนเขายิ่งโกรธาระคนหวาดกลัว คนผู้นั้นเป็นบุคคลที่ชายชราไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะวางแผนการใดๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับโต้กลับอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเกิดความโกลาหลประหนึ่งรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง!
เยี่ยฉวนคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักผู้เคยถูกศิษย์คนอื่นๆ กลั่นแกล้งอยู่เป็นนิจจริงหรือ?!
ไม่…เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่าเหมือนอสุรกายชีวิตยาวนานกว่าล้านปีที่เด็ดเดี่ยวในการสังหารผู้ขวางทางอย่างไม่เลือกหน้า!
ชายชราร้องคร่ำครวญในภวังคจิตอย่างเศร้าโศก แม้เกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำทว่าความเกลียดชังนั้นกลับแฝงด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกทั้งสองผสมปนเปจนสับสนและยุ่งเหยิง
“ฮึ่ม! เหอไท่ซวี ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น! พวกภูตอสุรกายในหุบเหวมังกรปีศาจหิวโหยเต็มทนแล้ว…วันพรุ่งนี้ข้าต้องได้เห็นศพของไอ้เด็กนั่นดังที่เจ้ารับปาก!”
จินจื่อคุนตะคอกเสียงกร้าวพร้อมหมุนกายเดินจากไป ห้องโถงกว้างใหญ่จึงเหลือเพียงเหอไท่ซวีที่ยังยืนอยู่จุดเดิมด้วยร่างกายที่เปียกโชกไปด้วยหยดเหงื่อ
ขณะเดียวกัน ณ ยอดเขาเมฆาอินทนิล เยี่ยฉวนส่งคนไปตามจ้าวต้าจื่อมาพบเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น…
“ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้เสมือนท่านได้ระบายความแค้นเคืองแทนบรรดาศิษย์อย่างแท้จริง! ที่ผ่านมาพวกเราถูกศิษย์ของหอแปรธาตุรังแกไม่เว้นวัน ในที่สุดพวกมันก็ได้ลิ้มรสชาตินั้นเสียบ้าง!” จ้าวต้าจื่อเคารพและเชื่อมั่นในตัวเยี่ยฉวนอย่างบริสุทธิ์ใจ
หากเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่และพบเข้ากับเรื่องเช่นนี้คงลี้ภัยไปพำนักกับอาวุโสลำดับสองแล้ว เขาไม่มีความกล้าหาญมากพอจะบุกไปท้าประลองถึงถิ่นของศัตรูเป็นแน่!
“เรื่องนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นต่างหาก เจ้าอ้วน ช่วยข้ากระจายข่าวทีเถิด ว่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้มีเคล็ดลับเกี่ยวกับทักษะการฝึกตนและยาเม็ดในครอบครองมากมาย เขายินดีตกรางวัลให้กับผู้ใดก็ตามที่สามารถเอาชนะสหายเฒ่าเหอไท่ซวี! ประลองหนึ่งครั้ง…ชนะหนึ่งหน…ได้รับรางวัลหนึ่งอย่าง ยิ่งโจมตีรุนแรงเพียงใดรางวัลก็ยิ่งล้ำเลิศ!” เยี่ยฉวนสั่งการ
“อะไรนะ? ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ท่านจะ…”
จ้าวต้าจื่อเบิกตากว้างพร้อมเผยสีหน้าประหลาดใจ ศิษย์พี่ใหญ่มีสมบัติจากอาณาจักรสวรรค์ในตำนานซ่อนไว้จริงหรือจึงกล้าป่าวประกาศเช่นนั้น?! หากข่าวลือดังกล่าวแพร่กระจายไปในสำนักเป็นวงกว้างแล้วเขาไม่สามารถตกรางวัลได้ดังที่ป่าวประกาศ ผู้คนจะต้องลุกฮือจนเกิดความโกลาหลเป็นแน่!
เยี่ยฉวนคาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องตั้งคำถามจึงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าอ้วน อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่น…เร่งกระจายข่าวนี้เถิด!”
“ได้ขอรับ!” เด็กหนุ่มร่างอ้วนรับคำก่อนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนร่างกระเพื่อม แม้เขาไม่ถนัดด้านวิทยายุทธ์ แต่ด้านการกระจายข่าวลือและหว่านถ้อยคำที่อาจก่อให้เกิดความไม่ลงรอยในกลุ่มชนเป็นสิ่งที่เขาถนัดนัก ทั้งยังทำได้ดีเสียด้วย!
“หึๆ คิดเล่นสกปรกกับข้าอย่างนั้นรึ?!”
เยี่ยฉวนหัวเราะเยาะ เขารังเกียจสุนัขชราผู้ทรยศเช่นเหอไท่ซวีเสียจนไม่ต้องการลงแรงด้วยตนเอง เขานั่งลงกับพื้นและเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตนขณะรอฟังการตอบสนองจากฝูงชนที่รับรู้ข่าว
ภพอดีต มหาปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์เคยเผชิญกับพายุที่โหมกระหน่ำลูกแล้วลูกเล่า ทั้งยังเผชิญกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่วางแผนต้านทานอำนาจของเขา ไม่นานคนเหล่านั้นก็ล้มตายเพราะพ่ายแพ้ ภพชาติใหม่ จินหัวผู้คิดต่อต้านเขาก็พบจุดจบเช่นเดียวกัน เหอไท่ซวีเองก็กำลังเจริญรอยตามผู้เป็นนายอยู่ไม่ใช่หรือ?! ดังนั้นปลายทางของชีวิตชายชราเป็นสิ่งใดไม่ได้นอกเสียจากความตายเท่านั้น!