บทที่ 35 กายหยางศักดิ์สิทธิ์
เหอไท่ซวีหนีไปยังภูเขาหลังสำนักหมอกเมฆาอย่างสับสนเส้นทางโดยมีเยี่ยฉวนไล่ตามหลัง เขาลูกนั้นปกคลุมด้วยป่ารกทึบ มีไม้หนามแหลมคมขึ้นอยู่โดยทั่ว ไม่นานเสื้อผ้าของเขาก็ขาดวิ่นราวกับผ้าขี้ริ้ว ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ
ซ้ำร้าย เมื่อใดก็ตามที่เท้าของเขาสะดุดหรือเกี่ยวเข้ากับบรรดาไม้หนาม ฝูงแมลงกลายพันธุ์จะพุ่งเข้ารุมกัดพร้อมทั้งดูดกลืนเลือดและพลังงานของเขา ชายชราสบกรามแน่น เขาหนีมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วทว่ายังไม่อาจสลัดเยี่ยฉวนได้พ้น ซ้ำยังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จากการเสียเลือด
ส่วนเยี่ยฉวนไล่ตามเหอไท่ซวีอย่างใจเย็นประหนึ่งแมวที่จับหนูไว้ในกรงเล็บได้แล้ว
เมื่อมีราชันจักจั่นทองคำและฝูงแมลงกลายพันธุ์คอยคุ้มกัน แม้แต่จอมยุทธ์ระดับสูงก็ไม่อาจคุกคามเขาได้ นับประสาอะไรกับเหอไท่ซวีผู้บรรลุเพียงขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งเท่านั้น เยี่ยฉวนกำลังเพลิดเพลินกับความเศร้าโศกและทุกข์ทรมานของสุนัขแก่ตัวนี้ และในขณะเดียวกันก็กำลังรอคอยโอกาสสุดท้ายอย่างเงียบเชียบ
หากไม่โจมตีก่อนก็จะถูกโจมตีเสียเอง ฉะนั้นจงฆ่าโดยไม่ลังเล!
เยี่ยฉวนผู้มากประสบการณ์อดทนรอคอยให้เหอไท่ซวีผู้ดื้อรั้นหมดหวังแล้วจึงมอบความพินาศย่อยยับแก่เขา
ชายชราทั้งสะบักสะบอมและอ่อนล้า แต่เขาก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่สั่งสมความร้ายกาจมาเนิ่นนาน ความจริงแล้ว เขาจงใจแสร้งล้มหลายต่อหลายครั้งและรอให้เยี่ยฉวนเผยตัวออกมาเพื่อที่จะโจมตีกลับอย่างฉับพลันรุนแรง แต่โชคร้ายที่แผนแสร้งตายของเขากลับเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ เพราะการวางแผนลวงต่อหน้าเยี่ยฉวนนั้นก็เหมือนถูกลิขิตให้พ่ายแพ้ตั้งแต่แรก
เยี่ยฉวนไม่จำเป็นต้องเผยตัวเพื่อจัดการด้วยตนเอง เพราะเพียงใช้ความคิด ราชันจักจั่นทองคำก็เข้าจู่โจมเหอไท่ซวีด้วยกรงเล็บ ฟัน และปีกที่คมราวกับใบมีดจนเขากรีดร้องอย่างน่าสยดสยองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้เขาอยากจะแสร้งข่มความเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานได้ ราชันจักจั่นทองคำแทงดวงตาทั้งสองข้างของเขา ดวงตาที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้นบอดสนิท ชายชราวิ่งหนีสะเปะสะปะไปจนถึงหุบเขามังกรปีศาจโดยบังเอิญ
ชักไม่ดีแน่!
แววตาของเยี่ยฉวนทอประกายวูบไหวก่อนจะเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เขาต้องการฆ่าตาเฒ่าเหอไท่ซวีด้วยน้ำมือของเขาเอง เคราะห์ร้ายที่แม้เหอไท่ซวีจะตาบอดแต่กลับตรงดิ่งไปยังหุบเขามังกรปีศาจอย่างรวดเร็วด้วยสัมผัสหรือสัญชาตญาณไม่อาจทราบ ก่อนจะหยุดลงที่ข้างหุบเหวนั้น
“ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กเหลือขอ เข้ามาสิ มาฆ่าข้าเสีย!”
เหอไท่ซวีมองมายังเยี่ยฉวนด้วยดวงตาโชกเลือด ชายชราคลุ้มคลั่งอาจด้วยเพราะเสียสติไปแล้วหรือเพราะรู้ตัวว่ายากที่จะรอดพ้นความตายไปได้ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง “เข้ามา เข้ามาฆ่าข้าเสียสิ ฮ่าๆๆ”
“ตาแก่ เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถสังหารเจ้าได้งั้นหรือ?” เยี่ยฉวนเย้ยหยัน ยังคงรุกคืบเข้าหาด้วยความกล้าแกร่งจากกระบวนการฝึกตนและทักษะอันเยี่ยมยอด
“ ฮ่าๆๆ ข้ารู้ตัวดีว่ายังไงข้าก็ต้องตาย แต่ข้าจะไม่ยอมตายในเงื้อมมือของเจ้าหรอก ต่อให้ตายกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป ฮ่าๆๆ”
เหอไท่ซวีระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนจะกระโจนลงไปในหุบเขามังกรปีศาจ เยี่ยฉวนรีบกระโจนไปคว้าไว้แต่กลับได้เพียงเศษเสื้อผ้าของชายชราที่ขาดติดมือมาเท่านั้น เวลาล่วงไปพักใหญ่แต่เสียงหัวเราะวิกลจริตของเหอไท่ซวียังดังแว่วมาจากหุบเหวไร้ก้น หุบเขามังกรปีศาจท่ามกลางแสงสลัวในยามราตรียิ่งแลดูลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง ปราณหยางที่พลุ่งพล่านอยู่โดยรอบบริเวณทำให้การฝึกตน ณ ที่แห่งนี้ได้ผลลัพธ์ทวีคูณด้วยความพยายามเพียงครึ่ง ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงอันตรายในทุกนาทีที่ล่วงไป เยี่ยฉวนรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง ทั้งโลหิตและปราณในกายพลันเดือดพล่าน แม้ยืนอยู่ตรงนี้เพียงชั่วครู่
เขาสัมผัสได้ถึงปราณหยางที่แน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดแล้ว ความลับใดกันที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขามังกรปีศาจนี้?
ภายในจิตใจของเยี่ยฉวนกลับเครียดขึง เขาไม่กล้ายืนอยู่บนหุบผานี้เป็นเวลานาน จึงมองดูอยู่เพียงครู่ก่อนจะรีบเร่งจากไป
จินหัวตายแล้ว และบัดนี้ตาเฒ่าเหอไท่ซวีก็ตายตกไปตามกัน ทว่าสำหรับเยี่ยฉวนแล้วนั้นภัยคุกคามยังไม่หมดไป ศัตรูที่แท้จริงอย่างเจ้าหอแปรธาตุจินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามผู้อยู่เบื้องหลังยังคงเฝ้าจับตาดูเขาราวกับพยัคฆ์ร้ายที่คอยเฝ้ามองเหยื่อ
เมื่อกลับมาถึงยอดเขาเมฆาอินทนิล เยี่ยฉวนนั่งลงเข้าสู่สมาธิแต่กลับรู้สึกไม่สบายใจชอบกล เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังมีปัญหาอื่นที่ซุกซ่อนอยู่ หรือเป็นเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากหุบเขามังกรปีศาจกันแน่ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะคว้าโคมบงกชสีครามและถอดจิตออกมาอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้ดวงจิตล่องตามลมไปยังที่พักของจินจื่อคุน
ในค่ำคืนเงียบสงัด สายลมเย็นเฉียบพัดหวิวผ่านไป!
เมื่อใกล้ถึงหอแปรธาตุ เยี่ยฉวนสัมผัสได้ถึงปราณหยางที่เดือดพล่านลอยมากระทบผิวหน้า จิตวิญญาณของเขาที่ลอยล่องในอากาศรู้สึกร้อนรุ่มราวกับถูกโยนลงในภูเขาไฟ แม้จะเจ็บปวดดังแมลงเม่าบินเข้ากองไฟแต่เขาก็ยังกัดฟันเดินหน้าต่อไปจนมาถึงลานกว้างอันเงียบสงบ ณ ที่แห่งนั้น เขาเห็นจินจื่อคุนกำลังฝึกกระบวนท่าต่อสู้อย่างสันโดษจากระยะไกล กระบวนท่าของเขาเรียบง่ายและเปิดเผยแต่หมัดและลูกเตะนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณหยาง ในขณะที่ปราณโลหิตในกายกำลังเดือดพล่าน
“กายหยางศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนตกตะลึง ตอนนี้ภัยคุกคามจากจินจื่อคุนอันตรายขึ้นมาอีกระดับแล้ว
หลังบรรลุขั้นซิวฉือ บรรดาผู้ฝึกตนสามารถฝึกเคล็ดวิชาทุกประเภทเพื่อครอบครองทักษะอันเป็นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่บินหรือวิชาถอดจิตเพื่อส่งดวงจิตออกเดินทางไปได้ไกลนับพันลี้ ทว่ากลับมีคนบางกลุ่มฝักใฝ่ในขั้นอูเจ๋อโดยเพิ่มความแข็งแกร่งและขัดเกลาร่างกายต่อไป จนกระทั่งความแข็งแกร่งนั้นถึงจุดสูงสุดและบรรลุกายหยางอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บไม่อาจรุกรานได้ แม้แต่ภูติผีปีศาจก็ไม่อาจกล้ำกราย กายหยางศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นผลจากการฝึกตนตามธรรมชาติของดวงจิตหยินขั้นซิวฉือ!
ด้วยปราณหยางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ชายผู้นี้จะบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าและกลายเป็นปรมาจารย์แห่งเต๋าผู้มีดวงจิตหยางหรืออย่างไร?
ดวงจิตของเยี่ยฉวนหยุดชะงัก สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่แผ่ออกมาจากจินจื่อคุน
จอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าด้านร่างกายและปราณหยางนั้นมีกระบวนการฝึกตนที่เชื่องช้าแต่แข็งแกร่งยิ่งนักในแต่ละขั้น พวกเขามักจะก้าวข้ามขั้นและปลิดชีพจอมยุทธ์ที่มีลำดับขั้นสูงกว่าได้ และเมื่อถึงขั้นซิวฉือ การเด็ดหัวจอมยุทธ์ขั้นซิวฉือที่มีลำดับสูงกว่าก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ในตอนนี้จินจื่อคุนยังอยู่ในขั้นซิวฉือระดับเจ็ด แต่เมื่อใดที่เขาบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าได้ แม้แต่อาวุโสสูงสุดและอาวุโสลำดับสองก็คงถูกล้มล้างและเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำภายในสำนักเป็นแน่ และด้วยความร่วมมือของอาวุโสอันดับสามแล้ว ผู้ใดจะกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเขา? หากเจ้าสำนักยังไม่กลับมาในเวลานั้น ทั้งสำนักหมอกเมฆาจะไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาและถูกกดขี่เข่นฆ่าตามใจเสียหรือ?
ชายผู้นี้ยังไม่กลับมาล้างแค้นแม้เยี่ยฉวนได้ปลิดชีพบุตรชายของเขา เขาทนทุกข์ทรมานอยู่เงียบๆ และหยุดรอเวลา
เยี่ยฉวนเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดจินจื่อคุนจึงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่มาก่อปัญหา ในยามนี้ ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขามั่นคงประหนึ่งภูเขาไท่ซานด้วยแรงสนับสนุนจากอาวุโสสูงสุดและอาวุโสลำดับสอง แต่เมื่อใดที่จินจื่อคุนบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าได้สำเร็จ สถานการณ์จะกลับตาลปัตรเป็นแน่!
โบร๋ว!
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เกิดเสียงดังก้องประหนึ่งเสียงครวญครางของภูตผีปีศาจผสานกับเสียงโหยหวนของฝูงหมาป่า
แสงสลัวยามค่ำคืนพลันเลือนหายไป บรรยากาศโดยรอบในรัศมีร้อยเมตรกลับมืดสนิทไร้แสงจันทร์และแสงดาว โครงกระดูกเงามหาศาลปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เปลี่ยนหอแปรธาตุอันน่าเกรงขามให้กลายเป็นหลุมศพขนาดมหึมา พลังปราณแห่งความตายลอยขึ้นสู่เบื้องบน
เคล็ดวิชาปีศาจร่ายระบำ!
เยี่ยฉวนโคจรพลังจิตทั้งหมดและปล่อยเคล็ดวิชาหายากแห่งสำนักมาร
เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาที่ขัดเกลาขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อนโดยราชันภูตอสูรกายผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ ก่อนที่เยี่ยฉวนจะสังหารเขาและขโมยเคล็ดวิชานี้มา ในตอนแรกเคล็ดวิชานี้สามารถสร้างเพียงโครงกระดูกเงาเพื่อยึดครองจิตวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น แต่หลังจากการฝึกตนบรรลุผลสำเร็จ โครงกระดูกที่เป็นเพียงเงากลับมีตัวตนจับต้องได้ขึ้นมา และวิวัฒน์เป็น ‘อสุรา’ ราชันภูตอสูรกายขั้นสูงสุด เคล็ดวิชานี้จึงทรงพลังไม่น้อยเลยทีเดียว
ความรู้ความสามารถของเยี่ยฉวนนั้นฝืนกฎธรรมชาติ เขาเรียนรู้เคล็ดวิชาถึงสามพันวิชาแต่กลับอยู่เพียงขั้นอูเจ๋อที่หก การใช้พลังดวงจิตท่องราตรีจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง ลำพังแค่เคล็ดวิชาปีศาจร่ายระบำก็ต้องใช้พลังมหาศาล แต่เขากลับไม่แยแสผลกระทบที่ต้องเผชิญ เขาเสี่ยงลงมือจู่โจมเพื่อไม่ให้จินจื่อคุณสามารถบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าได้