บทที่ 47 ออกสำรวจตลาดมืดอีกครั้ง
ทั้งหมดที่เยี่ยฉวนกล่าวออกมาเป็นความจริง เขาไม่ได้พูดพล่ามเรื่อยเปื่อย การจะช่วยปีศาจเพลิงจากหายนะในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชี้แนะแนวทางเพียงเล็กน้อย หากแต่เขาต้องถ่ายทอดเคล็ดวิชาซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
เยี่ยฉวนทำการรักษาเบื้องต้นโดยใช้เข็มเงินแทงที่จุดฝังเข็มเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบาดเจ็บทรุดลง จากนั้นจึงนำปีศาจเพลิงไปยังห้องฝึกตนเพื่อหาแนวทางรักษาตามอาการ
ณ ลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาอินทนิลซึ่งเพิ่งกลับสู่ความสงบเรียบร้อย ทันใดนั้นฝูงแมลงกลายพันธุ์ก็พุ่งเข้าใส่ปีศาจเพลิงราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก่อนจะดูดกลืนปราณหยางที่แผ่ออกมาและเลือดที่เดือดพล่านภายในกายของเขา เคราะห์ร้าย หลังจากกัดร่างของปีศาจเพลิงแล้วตัวของพวกมันก็กลับไหม้เกรียม ร่วงลงบนพื้นและตายสนิททันที ซากแมลงกลายพันธุ์ข้างปีศาจเพลิงกองพะเนินสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไฟสุริยันแผดจ้าปะทุออกมาจากร่างของเขาราวกับเอาเขื่อนไปกั้นสายน้ำเชี่ยวกรากบนภูเขา เส้นโลหิตหัวใจที่อุดตันของเขาก็ต้านไว้ไม่ไหวจนต้องเปิดออกเช่นกัน
หากเยี่ยฉวนยังคงเป็นปรมาจารย์ชั้นเลิศ เขาคงมีวิธีมากมายที่จะช่วยแก้ปัญหาของปีศาจเพลิง แต่ด้วยร่างกายและระดับขั้นการฝึกต้นที่จำกัดในตอนนี้ทำให้เขาต้องหาหนทางอื่น แมลงกลายพันธุ์ตามธรรมชาติมีนิสัยชอบดูดเลือดและได้ทำลายสมุนไพรในสำนักไปทั่วทุกแห่ง แต่ก็นับเป็นความสามารถที่พิเศษยิ่งเช่นกันหากใช้อย่างเหมาะสม
ราชันจักจั่นทองคำสั่งการให้ฝูงแมลงกลายพันธุ์ออกมาดูดกลืนปราณหยางจากร่างของปีศาจเพลิง เมื่อฝูงหนึ่งร่วงหล่นไปอีกฝูงก็เข้ามาแทนที่ เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน
เยี่ยฉวนไม่ปล่อยวันคืนเหล่านี้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขานั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหลังและโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ ถ่ายโอนพลังวิญญาณที่ก่อขึ้นจากการฝึกตนอย่างหนักเข้าไปในกายของปีศาจเพลิงเพื่อช่วยรักษาจุดสูงสุดที่ถูกทำลาย ในขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเฉพาะรวมถึงชี้แนะแนวทางการฝึกตนและควบคุมไฟสุริยันแผดจ้าแก่ปีศาจเพลิง
รุ่งเช้า ปีศาจเพลิงขยับตัวแผ่วเบาและตื่นขึ้นจากสมาธิ ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาก็สลายไปในที่สุด ใบหน้าที่แตกระแหงเริ่มปรากฏร่องรอยของความชุ่มชื้นและมันวาว หายนะที่เขาเผชิญมาเป็นเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ปีศาจเพลิงรู้สึกยินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อพินิจดูความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตน เขารู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ แต่สีหน้าของเยี่ยฉวนผู้นั่งอยู่เคียงข้างนั้นกลับผ่ายผอมและซีดเซียว ความแปรปรวนของพลังงานในร่างแย่ลงกว่าก่อน เยี่ยฉวนได้ใช้พลังชีวิตของเขาไปกับการช่วยรักษาปีศาจเพลิงจนหมดสิ้น เขาลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของอีกฝ่าย
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ท่านชายผู้สูงศักดิ์ นับจากวันนี้ไป ปีศาจเพลิงผู้นี้ขอปฏิญาณตนว่าจะอุทิศชีวิตเพื่อติดตามท่านไป หากวันใดข้าทรยศท่านขอให้ข้าต้องทุกข์ทรมานกับหายนะร้ายแรงราวสายฟ้าฟาดและขอให้วิญญาณของข้าแตกสลาย!” ปีศาจเพลิงคุกเข่าลง คราวนี้เขาแสดงความเคารพด้วยใจจริง
พลังชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตน มองเพียงครั้งเดียวปีศาจเพลิงก็รู้ว่าเยี่ยฉวนได้จ่ายไปอย่างมหาศาลเพื่อแลกกับการช่วยชีวิตเขา เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ต่อให้เป็นปีศาจร้ายผู้ยิ่งใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจกับการกระทำนี้
“ลุกขึ้นเถิด หายนะของเจ้ายังไม่หมดสิ้น ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกมาก อยู่ฝึกตนที่นี่ไปก่อน อย่าลงเขาไปโดยที่ข้าไม่ได้บอก” เยี่ยฉวนสั่ง ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงเพื่อเข้าสู่สมาธิและฟื้นคืนพลังชีวิต
ปีศาจเพลิงเป็นผู้มีไหวพริบ เพียงแค่สะบัดนิ้วแผ่วเบาเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและแผดเผากองซากแมลงบนพื้นจนหมดสิ้น เมื่อเก็บกวาดเสร็จเขาก็ปิดประตูและออกลาดตระเวนบนภูเขาโดยสวมเสื้อผ้าฝ้ายและหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่ บนบ่าแบกจอบขุดสมุนไพรเอาไว้ ตอนนี้ตัวตนของเขาแปรเปลี่ยนจากปีศาจร้ายแห่งตลาดมืดที่ผู้คนหวาดกลัวเป็นบริวารโอสถผู้ภักดี
“ไม่เลว ปีศาจเพลิงผู้นี้ช่างปรับตัวได้ดีจริงๆ”
เยี่ยฉวนพยักหน้ากับตนเอง
เขานั่งขัดสมาธิในห้องฝึกตน แม้ร่างกายจะนิ่งแต่กระแสจิตบริสุทธิ์กำลังเฝ้าจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของปีศาจเพลิง เมื่อเห็นว่าปีศาจเพลิงเป็นบริวารโอสถผู้อยู่ในโอวาทก็รู้สึกผ่อนคลายลง หลังจากฝึกตนได้กว่าสองชั่วยามเยี่ยฉวนไปพบจ้าวต้าจื่อและออกเดินทางจากสำนักหมอกเมฆาเพื่อไปเยือนตลาดมืดอีกครั้ง
เมล็ดของผลชิ่งหยางที่ได้มาจากตลาดมืดโดยบังเอิญนั้นทำประโยชน์ให้เขามากโข การรักษาปีศาจเพลิงทำให้เขาสูญเสียพลังชีวิตมหาศาล เขาจึงเตรียมเดินทางไปยังตลาดมืดอีกครั้งเพื่อเสี่ยงโชคว่าจะได้พบเมล็ดชิ่งหยางอีกหรือไม่
จ้าวต้าจื่อใคร่จะเอ่ยถามบางสิ่งแต่ยังลังเล เขามองกลับไปยังสำนักหมอกเมฆาบ่อยครั้ง และในขณะที่กำลังลงเขาเจ้าอ้วนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วปีศาจเพลิงล่ะขอรับ? จากไปแล้วหรือ?”
ในยามที่เยี่ยฉวนช่วยปีศาจเพลิงรักษาอาการบาดเจ็บเมื่อวาน เจ้าอ้วนได้จากยอดเขาเมฆาอินทนิลไปเพื่อฝึกตนจึงไม่รู้สถานการณ์หลังจากนั้น
“จากไป? จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร? ต่อไปนี้เขาจะไม่จากไปไหนอีกแล้ว เขาจะอยู่เคียงข้างศิษย์พี่ใหญ่เช่นข้าในฐานะบริวารโอสถ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสดีเช่นนี้หรอก” เยี่ยฉวนหัวเราะพลางคุยโวอย่างไร้ยางอาย เมื่อเดินลงเขาไปได้ครึ่งทางก็ชี้ไปยังบางสิ่ง “ดูนั่นสิ”
เจ้าอ้วนมองตามทิศที่เยี่ยฉวนชี้ไปและต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
ชายชรากำลังทำงานหนักอยู่บนภูเขาท่ามกลางแสงแดด เขาเหวี่ยงจอบขุดสมุนไพรลงบนพื้นเพื่อกำจัดวัชพืช แม้จะสวมหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่บนศีรษะแต่ชุดผ้าฝ้ายหยาบๆ นั้นทำให้เหงื่อไหลท่วมราวกับฝนพรำ ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น ในตอนนี้เขาดูเหมือนชาวนาเฒ่าอย่างสมบูรณ์แบบ
“นั่น… ปีศาจเพลิงหรือ?”
จ้าวต้าจื่อขยี้ตาด้วยความตกตะลึงยิ่ง แม้จะเหลือเชื่อเพียงใดแต่ร่างสูงใหญ่และหนวดเคราสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้จำผิด
เดิมทีเขาเชื่อว่าเยี่ยฉวนและปีศาจเพลิงนั้นไม่ได้จริงจัง แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าปีศาจเพลิงแห่งตลาดมืดผู้สามารถอัญเชิญลมฝนจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะบริวารโอสถ? ใครจะเชื่อข่าวลือพรรค์นี้?
ไม่ว่าปีศาจเพลิงจะเข้าร่วมสำนักหมอกเมฆา สำนักเครื่องนิล หรือสำนักเบญจลักษณ์ ทุกสำนักย่อมยินดีต้อนรับเขาอย่างน้อยในฐานะแขกผู้อาวุโสด้วยอายุและระดับการฝึกตน แต่บัดนี้เขาอยู่เคียงข้างเยี่ยฉวนในฐานะบริวารโอสถโดยไม่สนสายตาของผู้อื่น ช่างเป็นสิ่งที่ยากเกินจะเชื่อ
เจ้าอ้วนตัวสั่น เขามองเยี่ยฉวนด้วยความเคารพนับถือที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเยี่ยฉวนสามารถช่วยปีศาจเพลิงให้รอดพ้นจากหายนะได้หากแต่เป็นเพราะความกล้าหาญและมองการณ์ไกลของเขา ในใต้หล้านี้ ผู้ที่กล้าคิดให้ปีศาจเพลิงผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับห้ามาอยู่เคียงข้างในฐานะบริวารโอสถคงมีแต่เยี่ยฉวนผู้เดียวเท่านั้น!
“บริวารโอสถมีดีอย่างไร? ไปเถอะเจ้าอ้วน หลังจากนี้ในยามที่ข้าไม่อยู่บนภูเขา หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไปพบปีศาจเพลิงได้โดยตรง แน่นอนว่าหากเจ้าทำตัวไม่ดีและฝ่าฝืนกฎระเบียบในสำนัก เช่นบรรดาศิษย์หญิงเกิดไล่ฆ่าเจ้าหลังแอบถ้ำมองพวกนางยามอาบน้ำ ก็ถือซะว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้า” เยี่ยฉวนตบไหล่เจ้าอ้วนก่อนจะเดินจากไป
“ช้าก่อนศิษย์พี่ใหญ่ รอข้าด้วย!”
เจ้าอ้วนตื่นจากภวังค์ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเยี่ยฉวน ร่างทั้งสองหายลับตาไปในเทือกเขาอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเป็นการมาเยือนครั้งที่สอง เยี่ยฉวนจึงคุ้นชินเส้นทางและตรงไปยังตลาดมืดได้ในเวลาไม่นาน เมื่อเขามาถึงกลับพบร่างที่คุ้นเคยโดยไม่คาดคิด จูซือเจียในชุดสีแดงยืนอยู่ ณ ปากทางเข้าตลาดมืด ดูเหมือนว่านางกำลังรอคอยเยี่ยฉวนและจ้าวต้าจื่อ
“แม่นางเจียเจีย เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เจ้าอ้วนร้องทักด้วยความแปลกใจ
“ฮึ่ม หากข้าไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย ข้าจะยังคอยดูแลตลาดมืดได้อย่างไร?”
จูซือเจียพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาก่อนจะมองไปที่เยี่ยฉวน “เมื่อสองวันก่อนเจ้ามีเรื่องขัดแย้งกับปีศาจเพลิงผู้ยิ่งใหญ่ในตลาดมืดและเกือบก่อความวิบัติ แต่วันนี้ไม่มีตลาด แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่? จะมาก่อเรื่องอีกอย่างนั้นหรือ?”
ทั้งสามสำนักใหญ่มีหูตาทั้งในและนอกตลาดมืด จูซือเจียผู้ดูแลตลาดมืดใต้ดินแห่งนี้ได้รับเบาะแสของคนทั้งสองเมื่อไม่กี่วันมานี้จึงมาดักรอพวกเขาตั้งแต่ปากทาง
“เจียเจีย เจ้าไม่รู้อะไร ปีศาจเพลิงน่ะ…” เจ้าอ้วนตื่นเต้นเสียจนเกือบโพล่งเรื่องที่ปีศาจเพลิงกลายเป็นบริวารโอสถแห่งสำนักหมอกเมฆาออกไปในที่แจ้ง แต่เยี่ยฉวนตีเขาและส่งสายตาอย่างมีความหมาย ทำให้เจ้าอ้วนหยุดชะงักและรีบหุบปากทันที
“พวกข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อก่อปัญหาแต่จะมาเพื่อจัดการปัญหา ข้าได้ยินจากเจ้าอ้วนว่ามีผู้ไม่ดูตาม้าตาเรือบังอาจมาตีบั้นท้ายของศิษย์น้องหญิง ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้มาที่นี่เพื่อปลิดชีพมันเสีย อยากเห็นหน้านักว่ามันเป็นใครจึงบังอาจมาเอาเปรียบศิษย์น้องหญิงเช่นนี้! เจ้าอ้วน มันอยู่ที่ไหน?” เยี่ยฉวนมองไปรอบๆ เจ้าอ้วนกลัวเสียจนเป็นทุกข์ เขาไปพูดเรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน? พูดเรื่องตีบั้นท้ายต่อหน้าจูซือเจียเช่นนี้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ หรือ?
แน่นอนว่าจูซือเจียโกรธจัดเมื่อนึกถึงที่เยี่ยฉวนตีนางในครั้งนั้น หญิงสาวขบฟันแน่น เนินอกใหญ่โตกระเพื่อมขึ้นลงราวกับลูกกระต่าย
“ข้าเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น อย่าโมโหไปเลยศิษย์น้องหญิง โกรธมากๆ จะไม่ดีกับผิวพรรณของเจ้า วันนี้พวกข้ามาซื้อของเล็กน้อย จะไม่ก่อปัญหาอันใดให้ศิษย์น้องหญิงเป็นแน่ แต่ถ้าหากเจ้าไม่มั่นใจก็เชิญมาด้วยกันเสีย”
เยี่ยฉวนยิ้มก่อนจะปรายตามองร่างอันเย้ายวนของจูซือเจีย เขาพาเจ้าอ้วนผู้หวาดหวั่นและเป็นกังวลเดินจากไป จูซือเจียกระทืบเท้าอยู่เบื้องหลังและตามพวกเขาไป ไม่รู้เป็นเพราะนางไม่อาจวางใจจริงๆ หรือเป็นเพราะนางต้องการหาโอกาสเอาคืนกันแน่
ด้วยความช่วยเหลือของผู้ติดตามไฟแรงทั้งสอง เยี่ยฉวนตรงไปที่แผงขายของเฒ่าโหวจอมลวงโลก
ตามธรรมเนียมแล้วตลาดมืดใต้ดินแห่งนี้จะมีการจัดตลาดใหญ่ขึ้นทุกสามวัน แม้ในวันธรรมดาจะยังมีกิจการเปิดอยู่บ้างแต่พ่อค้าและผู้คนที่มายังแผงขายของกลับมีจำนวนน้อยกว่ามาก ยามเที่ยง ชายชรานามเฒ่าโหวงีบหลับอย่างสงบในแผงของตน แผงลอยที่อยู่ตรงหน้านั้นว่างเปล่า
“มะ…แม่สาวน้อยทรงเสน่ห์ เจ้าจะรีบไปไหน? มาลิ้มลองไม้เท้าของชายชราผู้นี้เสียหน่อยเป็นไร!”
เฒ่าโหวพึมพำกับตนเองพลางเดาะลิ้นจนน้ำลายกระเด็นออกมาจากปาก รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้า น่าสงสัยนักว่าเขากำลังคิดฝันอะไรอยู่ เมื่อความฝันใกล้ถึงจุดสุดยอดก็พลันตื่นขึ้นด้วยเสียงอันดัง ชายชราผงกหัวขึ้นดูเยี่ยฉวนผู้ยืนอยู่ตรงหน้าและมองมาพร้อมรอยยิ้ม ร่างอันเย้ายวนของจูซือเจียยืนอยู่เคียงข้างด้วยสีหน้าขยะแขยงราวกับอยากจะหนีไปให้ไกลจากเฒ่าโหวผู้ต่ำช้า