บทที่ 49 เหมืองแร่มณีคราม
หลิวหงนำทางเยี่ยฉวนออกจากตลาดมืดและตรงเข้าไปยังป่าทึบอันเป็นที่ตั้งของเหมืองใต้ดินแห่งสำนักเบญจลักษณ์
หลิวหงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นและเร็วขึ้น อาจด้วยเพราะนางกำลังเร่งรีบหรืออาจเพราะนางต้องการจะทดสอบเยี่ยฉวนก็ไม่อาจทราบ นางหันกลับมามองเยี่ยฉวนด้วยดวงตาโตฉ่ำน้ำและรอยยิ้มกว้างอยู่บ่อยครั้ง
เยี่ยฉวนระแวดระวังมากขึ้นขณะเดินตามอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
เมื่อมองจากเบื้องหลัง สัดส่วนโค้งเว้าของหลิวหงนั้นเปิดเผยให้เห็นเต็มตาและดูเย้ายวนกว่าเคย เอวนั้นบอบบางราวกับสามารถรวบไว้ได้ด้วยมือเดียวแต่บั้นท้ายกลับใหญ่และงอนนัก ส่วนโค้งบนร่างแลดูนุ่มนวลล่อตาล่อใจ บั้นท้ายอวบอัดพลิ้วไหวขณะก้าวเดินพาให้จิตใจของผู้มองดูสั่นไหวตามไปด้วย
หากเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่เยี่ยฉวนคงจะหน้าแดง หอบหายใจหนักหน่วง และกระโจนใส่นางไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตามเยี่ยฉวนกลับมีท่าทีสงบนิ่ง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นถึงนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์ ย่อมเคยพบเจอหญิงงามทุกรูปแบบมาแล้ว
เมื่อการยั่วยวนไม่ได้ผลหลิวหงจึงหมดหนทาง นางหยุดฝีเท้าฉับพลันหลังจากย่างเข้าไปในป่าเมเปิ้ล หันมามองเยี่ยฉวนด้วยแววตาเศร้าโศกก่อนจะเอ่ยคำเบา “ท่านชายเยี่ย ข้าไม่งดงามพอหรือ?”
“เจ้างดงามนัก งดงามยิ่งกว่ามวลบุปผชาติเสียอีก”
เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์ ทว่าริมฝีปากกลับเอ่ยคำหวานปานน้ำผึ้ง
“หากข้างดงามถึงเพียงนั้น เหตุใดท่านจึงไม่สนใจข้า?” หลิวหงขยับเข้าใกล้ ดวงตากลมโตกำลังจับจ้องราวกับคาดคั้น “ระหว่างข้ากับโท่วป่าเซียงเนียว ผู้ใดงดงามกว่า?”
“เจ้ารู้จักโท่วป่าเซียงเนียวงั้นหรือ?” เยี่ยฉวนถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน พวกข้ารู้จักกันตั้งแต่ยังเยาว์ หลังจากนั้นข้าจากมายังสำนักเบญจลักษณ์เพื่อฝึกตนกับท่านพ่อ ส่วนปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็พาโท่วป่าเซียงเนียวออกเดินทางสู่โลกภายนอกหลายปี เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่นานนี้” หลิวหงขยับกายเข้าใกล้เรื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนจากเรือนร่างลอยมาแตะจมูก นางเอ่ยถามอีกครั้งต่อหน้าเยี่ยฉวน “ท่านชายเยี่ย ท่านยังไม่ได้ตอบข้าเลย ระหว่างข้ากับโท่วป่าเซียงเนียว ผู้ใดงดงามกว่ากัน?”
“โท่วป่าเซียงเนียวไม่ได้เลวร้าย แต่นกอินทรียักษ์แปลงเป็นคนก็ไม่ใช่ภรรยาที่ข้าพึงใจเท่าใดนัก!” เยี่ยฉวนตอบ
หลิวหงหัวเราะเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องที่โท่วป่าเซียงต้องการให้สำนักหมอกเมฆาอับอายด้วยการสร้างพันธมิตรจากการแต่งงานแต่กลับไม่สำเร็จและทำให้ตนเองขายหน้าเสียแทน นางมองเยี่ยฉวนด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดคือภรรยาของเจ้า? ท่านชายเยี่ย ระวังตัวไว้ เรื่องระหว่างท่านกับโท่วป่าเซียงเนียวยังไม่จบสิ้น การสร้างพันธมิตรด้วยการแต่งงานเป็นความคิดของโท่วป่าเซียง ส่วนโท่วป่าเซียงเนียวนั้นเพิ่งกลับมาและไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย”
“ข้าได้พบกับเจ้าสาวของข้าในคืนแต่งงาน แต่สุดท้ายแล้วนางก็จากไป อา… โชคชะตาช่างใจร้ายกับข้านัก” เยี่ยฉวนทำทีครุ่นคิด
หลิวหงแย้มยิ้ม นางพินิจดูเยี่ยฉวนด้วยแววตาวูบไหว “ท่านชายเยี่ย เจ้ามากับข้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นกับดักหรือจะถูกพวกเราสำนักเบญจลักษณ์สังหารเสียหรือ?”
“ไม่เลย หากข้าได้มีค่ำคืนอันแสนสุขกับแม่หลิว แม้เป็นกับดักก็คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าสังหารข้าเจ้าไม่กลัวโท่วป่าเซียงเนียวจะฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้นให้สามีของนางหรือ?” เยี่ยฉวนตอบด้วยรอยยิ้ม
“หึ! ใครจะอยากใช้ค่ำคืนอันแสนสุขกับเจ้ากัน?”
หลิวหงกลอกตา นางเดินหน้าอย่างรีบเร่งต่อพลางแอบมองเยี่ยฉวนด้วยหางตา แม้นางจะมีท่าทีโกรธเกรี้ยวแต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้ามดวงตาใสแจ๋วกลับคอยเฝ้ามองเขาอย่างชัดเจน
ลือกันว่าศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสำนักหมอกเมฆานั้นหัวช้านัก แต่หลังจากเฉียดตายในภูเขาอันห่างไกล หายนะในครั้งนั้นเปลี่ยนเขาเป็นคนใหม่ ข่าวลือนั้นดูท่าจะเป็นจริง ถึงอย่างน้อยเขาก็ดีกว่าพวกหน้าซื่อใจคดพวกนั้นหลายเท่านัก
“แม่หลิว ข้าเห็นบั้นท้ายของเจ้า”
เยี่ยฉวนเดินตาม คำพูดของเขาทำให้หลิวหงผู้กำลังเหม่อลอยตัวสั่นระริก ใบหน้าสะสวยพลันแดงซ่าน นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเขินอายต่อหน้าชายใด นางรีบดึงชายกระโปรงลงทันที
“อย่าดึง ตอนนี้เจ้าปกปิดบั้นท้ายไว้ดีแล้วก็จริงแต่ข้ากลับเห็นหน้าอกของเจ้าแทน อา… ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าบุตรสาวสุดที่รักของเจ้าสำนักเบญจลักษณ์ผู้ยิ่งใหญ่จะมีชีวิตที่ยากลำบากกว่าข้าเสียอีก ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายได้มิดชิด” เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะชื่นชมเรือนร่างสะโอดสะองของหลิวหงอย่างเปิดเผย หลิวหงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ชุดกระโปรงชิ้นเดียวเช่นนี้ทำได้เพียงดึงขึ้นหรือดึงลงเท่านั้นซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
“ฮึ่ม เหมืองใต้ดินยังอยู่อีกไกลนัก อย่าหลงทางเสียล่ะ!”
หลิวหงจ้องเยี่ยฉวนอย่างโมโหร้ายก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นใคร่จะทิ้งห่างเยี่ยฉวนไปให้ไกล หลังจากวิ่งมาได้ครู่หนึ่งนางหันกลับไปมองและพบว่าเยี่ยฉวนตามนางมาอย่างไม่รีบร้อน ทว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองกลับไม่ไกลเกินสิบเมตร มิหนำซ้ำสายตาของเขายังสำรวจต้นขา บั้นท้าย และเอวบางอย่างไม่น่าวางใจ
ผู้ฝึกตนต่ำต้อยขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดที่ยังไม่บรรลุขั้นซิวฉือมีความเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
หลิวหงประหลาดใจอย่างมากก่อนจะเริ่มพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ นางไม่เชื่อว่าเยี่ยฉวนจะตามได้ทัน แม้เขาจะทำความเร็วได้ดีแต่ความทนทานของขั้นอูเจ๋อจะเทียบขั้นซิวฉือระดับสองเช่นนางได้อย่างไร?
สำนักเบญจลักษณ์เชี่ยวชาญในเรื่องกฎวิถี หลิวหงผู้กำลังพุ่งไปข้างหน้าสุดกำลังนั้นมีความเร็วเทียบเท่าคนธรรมดาที่ใช้กระบี่บิน บางครานางใช้ปฐพีวิถีทำให้ร่างจมลงไปในผืนดินใต้ฝ่าเท้าและโผล่ขึ้นจากพื้นที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตร บางครานางใช้วายุวิถีทำให้ร่างถูกพัดพาไปตามทิศทางลมนับร้อยเมตรทิ้งเพียงภาพลวงตาไว้เบื้องหลัง
แน่นอนว่าในที่สุดนางก็ทิ้งระยะห่างจากเยี่ยฉวนและหายลับตาไปได้ ทว่านิ่งนอนใจได้ไม่นานเยี่ยฉวนก็ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ แม้จะแลดูไม่เร็วนักแต่ก็สลัดออกไปไม่ได้เสียที ความทนทานของเขาเหนือกว่าที่หลิวหงคาดการณ์ไว้นัก
เยี่ยฉวนผู้ฝึกเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์และก่อรวมยันต์กลืนกินสวรรค์นั้นแข็งแกร่งและทนทานเหนือกว่าผู้ฝึกตนในระดับขั้นเดียวกันนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต้องเริ่มฝึกตนใหม่อีกครั้งหลังการฟื้นคืนชีพ เขาฝึกตนอย่างสม่ำเสมอและมั่นคงโดยฝึกปรือทุกขอบเขตจนบรรลุขั้นสูงสุด เขาเลือกที่จะใส่ใจคุณภาพมากกว่าความเร็วในการฝึกตน
หลิวหงพยายามสลัดเยี่ยฉวนให้พ้นทุกวิถีทางครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดหลิวหงก็ยอมแพ้และนำทางไปแต่โดยดี ไม่กี่ชั่วโมงล่วงไป ทั้งสองข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่าจนมาถึงดินแดนแห้งแล้งในที่สุด เมื่อมองไปรอบๆ ในรัศมีสิบลี้จะเห็นเพียงก้อนหินรุปร่างประหลาด ไม่มีหญ้าให้เห็นแม้แต่ใบเดียว ซ้ำยังมีความแปรปรวนวุ่นวายและรุนแรงของพลังงานบางอย่างอยู่เบื้องบน
จากปากทางเข้าเหมืองใต้ดิน เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นผู้คนเข้าออกและขนส่งแร่เต็มคันเกวียน หลังจากแร่เหล่านี้ได้รับการขัดเกลาและเจียระไนแล้วจะกลายเป็นผลึกหินที่จำเป็นสำหรับเหล่าผู้ฝึกตน
ทั้งทุ่งเหมืองแร่มีอุโมงค์ใต้ดินอย่างน้อยกว่าร้อยแห่ง เพียงแค่บนดินก็มีการบังคับใช้แรงงานมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ผู้คุมพร้อมอาวุธหนักที่เดินตรวจตราไปมานั้นสามารถสังหารแรงงานที่พยายามจะหลบหนีได้ กลางเหมืองมีหอสังเกตการณ์สูงตระหง่าน ตัวหอมีอักษรโบราณแกะสลักทับไว้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นยันต์อักขระที่ทรงพลัง สัมผัสได้จากที่ไกลๆ ว่ากลิ่นอายความมืดมนและหดหู่กำลังใกล้เข้ามา
“ที่นี่คือเหมืองแร่มณีคราม ทุ่งเหมืองใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของสำนักเบญจลักษณ์ของเรา เป็นอย่างไร กว้างใหญ่เหลือเกินใช่หรือไม่?” หลิวหงมองเยี่ยฉวนพลางยืดอกพูดด้วยความภูมิใจ
ในบรรดาสามสำนักใหญ่แห่งเทือกเขาเมฆาอินทนิล สำนักเบญจลักษณ์นั้นไม่ได้ปรุงยาอย่างสำนักหมอกเมฆาหรือมีทักษะการขัดเกลาอาวุธอย่างสำนักเครื่องนิล ทว่าพวกเขาครอบครองเหมืองแร่โดยส่วนใหญ่รวมถึงเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดด้วย ศิษย์สำนักเบญจลักษณ์ต่างเป็นมือสังหารที่เก่งกาจและเปรียบเสมือนฝันร้ายของศิษย์ชั้นเลิศจากอีกสองสำนัก ซ้ำยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังเหมือนปลาเกยตื้นที่ถูกปล่อยกลับสู่แม่น้ำ
“ไม่เลว ใช้ได้ทีเดียว”
เยี่ยฉวนพยักหน้า เมื่อก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็พลันสัมผัสถึงปฏิกิริยาจากโคมบงกชสีครามในกาย
มีขุมทรัพย์อยู่ใต้ดินอย่างนั้นหรือ?
เยี่ยฉวนรู้สึกประหลาดใจในขณะที่เดินกลับขึ้นมาบนพื้นดิน