บทที่ 5 หนึ่งคืนนั้นแสนยาวนานสำหรับการแก้แค้นของสตรี
“เพียะ!” เสียงกังวานดังขึ้นอีกครั้ง
นี่เขายังฟาดอยู่อีกหรือ?!
ไอ้สารเลว! นี่เจ้าเสพติดการฟาดก้นชาวบ้านงั้นหรือ?! หรือเพียงแค่ต้องการฉวยโอกาสสัมผัสเรือนร่างของจูซือเจียต่อหน้าคนอื่นกันแน่?!
เจ้าอ้วนและศิษย์ทั้งสองคร่ำครวญในใจ พวกเขาผิดหวังกับการกระทำของตนอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต่อให้ถูกทุบตีจนตายก็จะไม่บังอาจมาเหยียบที่นี่เด็ดขาดหากรู้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นนี้!
พวกเขาทั้งเสียใจและหวาดกลัวจนแข้งขาสั่น
เยี่ยฉวนใจกล้าพอที่จะฟาดจูซือเจียต่อหน้าทุกคน ยังมีสิ่งใดอีกที่เขาไม่กล้าทำ?!
ว่ากันว่าอุปนิสัยของผู้คนจะเปลี่ยนไปหลังเอาชีวิตรอดจากภยันตรายร้ายแรงได้… ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยขลาดเขลานั้นได้หายไปกับสายลมเสียแล้วหลังผ่านพ้นประสบการณ์เฉียดตาย เหลือไว้เพียงตัวก่อปัญหา ผู้ใดบังเอิญได้เจอเข้ากับเขาล้วนแต่โชคร้ายทั้งสิ้น!
ครู่หนึ่งเจ้าอ้วนก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เยี่ยฉวนฟาดมือลงไปอีกครั้งทว่ากลับมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่ร้องโอดโอยออกมา ในขณะที่ร่างของจูซือเจียนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หรือว่านางจะโดนฟาดจนสลบไปแล้ว?
เจ้าอ้วนกระเสือกกระสนหันไปมองจูซือเจีย นับว่าโชคดีที่นางไม่ได้สลบ! นางเพียงแค่อับอายเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น…
“เฮ้อ… ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว เหตุใดจึงมีแมลงวันบินว่อนเช่นนี้?”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพลางปัดซากแมลงวันบนฝ่ามือออก ก่อนจะเอื้อมมือหยิบสมุนไพรยื่นให้เจ้าอ้วนและพรรคพวกสูดดม เพียงไม่นานกำลังวังชาของพวกเขาก็ค่อยๆ กลับฟื้นคืน
“พวกเจ้าไปกันได้แล้ว ต่อจากนี้ก็ตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาล่ะ! หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่าออกมาเพ่นพ่านกลางดึกอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดก้นพวกเจ้า! ข้าผิดเองที่ไม่สั่งสอนพวกเจ้าให้ดี! เป็นเพราะข้าละเลยหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่!”
ทั้งสี่รีบเร่งออกจากลานกว้างโดยไม่ลังเล หลังจากที่ก้าวพ้นประตูจูซือเจียก็หันไปมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาโกรธแค้นก่อนจะเอื้อมมือไปบิดหูเจ้าอ้วนและเดินจากไป
“เจ้าอ้วน! เหตุใดเจ้าจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้?! แค่ผู้ฝึกตนขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้!”
“อ๊ะ… เบาหน่อยเจียเจีย หูข้าจะขาดแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไร้ประโยชน์แต่ศิษย์พี่ใหญ่นั้นเหนือมนุษย์ต่างหาก ใครจะล่วงรู้ว่าเขาเตรียมการไว้แต่แรกเล่า?”
“ฮึ่ม! แค่ธูปเล่มเดียวพวกเจ้ายังรับมือไม่ไหว? แล้วที่เคยโอ้อวดว่าสามารถฆ่าหมูป่าได้ด้วยหมัดเดียวเล่า?!”
“เจียเจีย ศิษย์พี่ใหญ่น่ากลัวกว่าหมูป่าเสียอีก… เจ้าเองก็รับมือไม่ได้จนถูกฟาดเช่นกันนี่?”
“ว่าอย่างไรนะ! ข้าโดนฟาดเสียเมื่อไหร่กัน?!”
“เปล่า…เจ้าไม่ได้โดนฟาด ข้าไม่เห็นอะไรเลย…โอ๊ย! เบา ๆ หน่อย… หูข้า…”
ทันใดนั้นแว่วเสียงฝูงคนลอยมาตามสายลมหนาว พวกเขาทั้งสี่จึงรีบรุดลงจากยอดเขาเมฆาอินทนิล
เป็นไปดังคาด เจ้าอ้วนและผองเพื่อนทั้งสองที่ก่อนหน้านี้ยืดอกคุยโวช่างโชคร้ายเสียจริง!
เยี่ยฉวนหัวเราะเมื่อเห็นคนทั้งสี่จากไป ก่อนจะหันกลับไปพินิจดูซากแมลงวันบนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เดิมทีราชาโอสถหัตถ์วิญญาณเป็นปีศาจกระต่ายและชอบกินสมุนไพรทุกชนิด สำนักหมอกเมฆาที่เขาก่อตั้งจึงขึ้นชื่อด้านการเพาะปลุกสมุนไพรและการปรุงยา บนยอดเขาต่างๆ ภายในสำนักจึงอุดมไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีผนึกปราการที่ใช้ป้องกันสมุนไพร เหล่าแมลงร้ายทั้งหลายจึงไม่สามารถคุกคามได้
ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ทว่าบนยอดเขากลับมีแมลงวันจำนวนไม่น้อยบินว่อนอยู่ ไม่ปกติเสียแล้ว!
เมื่อคิดได้ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงเร่งรีบออกไปยังลานกว้างและเดินสำรวจรอบ ๆ ยอดเขาถึงสองชั่วยาม เขากลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา
หลังจากสำรวจรอบยอดเขาแล้วเยี่ยฉวนจึงพบว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ฝูงแมลงวันที่บินว่อนอยู่บริเวณลานกว้างนับว่ามากแล้วแต่ที่บินอยู่เหนือสวนสมุนไพรนั้นจำนวนมหาศาลยิ่งกว่า สมุนไพรหายากบางชนิดถูกแมลงวันฝูงใหญ่ล้อมจนเห็นเป็นสีดำทะมึนอีกทั้งบางส่วนก็ได้ถูกกัดกินจนเฉาตายไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสมุนไพรในสำนักคงตายหมดและทางสำนักก็จะไม่สามารถปรุงยาได้แม้แต่เม็ดเดียว!
“พวกมันมีตาอยู่รอบหัว ตรงหางมีหนามแหลมคมและมีนิสัยชอบดูดเลือด… นี่ไม่ใช่แมลงวันธรรมดาแน่ๆ แต่เป็นแมลงวันอสูรแห่งดินแดนรกร้าง ดูเหมือนว่าสำนักหมอกเมฆาของกระต่ายเฒ่าต้องเจอกับหายนะครั้งใหญ่เสียแล้ว!”
เยี่ยฉวนจับแมลงวันที่บินรอบตัวเอาไว้ มันเริ่มดิ้นรนและส่งเสียงหึ่งๆ เขาจึงร่ายเคล็ดวิชาโดยเค้นเอาหยดเลือดจากปลายนิ้วกลางให้หยดลงบนตัวของมัน
แมลงวันสงบลงหลังจากที่เลือดหยดลงบนตัวของมัน ทันใดนั้นเยี่ยฉวนก็มีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับแมลงวันตัวนี้กลายเป็นเลือดเนื้อของเขาและสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระเพียงแค่ขยับนิ้ว!
เคล็ดการฝึกให้เชื่อง!
เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ที่ได้มาจากสุสานเทพเจ้าไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกายได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ควบคุมสัตว์อสุรกายทุกตัวใต้หล้าได้ด้วย!
หนึ่งล้านปีก่อนในยามที่เยี่ยฉวนยังสามารถใช้ฝ่ามือเพื่อซ่อนเร้นสวรรค์ เขาได้กำราบยอดฝีมือมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือราชาโอสถหัตถ์วิญญาณผู้ก่อตั้งสำนักหมอกเมฆาผู้เป็นสัตว์อสุรกาย เยี่ยฉวนอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งเข้าปราบเหล่าปรมาจารย์ ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าต่อกรกับเขาจะถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็น! ทว่าหนนี้กลับแตกต่างออกไป เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ทิ้งรอยประทับไว้ในร่างสัตว์อสุรกายเพื่อสร้างสายสัมพันธ์แนบแน่นจึงไม่ต้องกังวลว่าสัตว์เหล่านี้จะทรยศอีกต่อไป
“เคล็ดวิชาใหม่ การเริ่มต้นใหม่… ราชันอสรพิษทมิฬ ราชินีอสูรเนตรสีคราม และมหาปราชญ์อเวจี… พี่น้องของข้า เยี่ยฉวนกลับมาแล้ว!”
เยี่ยฉวนพึมพำกับตนเอง
สายตาของเยี่ยฉวนนั้นเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ขณะใส่แมลงวันที่ทำให้เชื่องเมื่อครู่ลงในขวดแก้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งเขาก็ออกไปเก็บสมุนไพรและหยดน้ำยาสีม่วงลงในขวดแก้วบนโต๊ะไม้
เสร็จแล้วเยี่ยฉวนจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้แสงดารา มีเพียงเมฆดำครึ้มราวกับพายุกำลังใกล้เข้ามา
เมื่อแสงแรกของดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า จูซือเจียปรากฏกายบนยอดเขาเมฆาอินทนิลอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มาพร้อมกับศิษย์กลุ่มใหญ่…
นอกจากเจ้าอ้วนแล้วยังมีศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักมาด้วย! ท่ามกลางฝูงชนมีศิษย์ผู้หนึ่งสวมชุดสีเขียวโดดเด่นเดินอยู่ข้างจูซือเจีย แววตาของชายผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพลังยุทธ์ที่ดูก็รู้ว่าอยู่เหนือขั้นอูเจ๋อ เมื่อเทียบกับจูซือเจียที่อยู่ขั้นซิวฉือระดับหนึ่งแล้วชายหนุ่มชุดเขียวดูจะมีพลังยุทธ์สูงส่งกว่านางเล็กน้อย ทั้งสองหัวเราะและพูดคุยอย่างสนิทสนมมาตลอดทาง
เมื่อวานหลังลงจากยอดเขาเมฆาอินทนิล จูซือเจียก็กระสับกระส่ายนอนไม่หลับทั้งคืน
นางโดนฟาดก้นต่อหน้าชายหนุ่มสามคนด้วยท่าทางน่าอับอาย… ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เพียงใดก็ยิ่งแค้น ฟ้าไม่ทันสว่างนางก็รีบเร่งมาที่แห่งนี้เพื่อลงโทษเยี่ยฉวนทันที
ลูกผู้ชายสิบปีค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สาย ทว่าสำหรับการแก้แค้นของสตรีนั้นเพียงหนึ่งคืนก็แสนยาวนาน!
เพียงชั่วข้ามคืนจูซือเจียก็ทนรอที่จะแก้แค้นไม่ไหวแล้ว!
ในเมื่อนางไม่สามารถลงทัณฑ์เยี่ยฉวนเป็นการส่วนตัวได้ก็ขอลงมือต่อหน้าสาธารณชนและฉวยโอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนที่ไร้ความปรานีให้เขาเสียเลย! ลูกผู้ชายที่มีแค้นแล้วไม่ชำระถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ทว่าจูซือเจียเป็นสตรี! นางต้องล้างแค้นเป็นแน่!
ขณะที่เยี่ยฉวนกำลังกวาดลานกว้างอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งจึงเดินออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ ทว่าไม่นานก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัยและจ้องมองจ้าวต้าจื่อที่หลบอยู่หลังจูซือเจียพลางเอ่ยถาม “ว่าอย่างไรเจ้าอ้วน? คันก้นอีกแล้วหรือ?”
“ขะ…ข้า…”
เจ้าอ้วนอยากออกตัวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน แต่หลังจากที่เห็นสายตาเย็นชาของจูซือเจียแล้วเหงื่อเย็นก็ไหลพลั่ก
แผลที่ถูกเยี่ยฉวนฟาดด้วยไม้กวาดยังคงร้าวระบม ไม่ว่าจะเดินหรือนอนก็เจ็บไปหมด แม้แต่ยาแก้ปวดทองคำก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อเห็นเขาหัวเราะเช่นนั้นเจ้าอ้วนก็รู้สึกกลัวจนขนลุกไปทั้งตัว!
“ให้ตายเถอะเจ้าอ้วน! ไร้ประโยชน์เสียจริง! รีบไปสิ!”
จูซือเจียผลักเจ้าอ้วนไปด้านหน้า ทว่าเขาก็เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังด้วยความกลัว นางจึงเดินออกไปอย่างกล้าหาญพลางเชิดอกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น “ไอ้คนเหลือขอ เวลาแห่งการท้าประลองได้มาถึงแล้ว! เจ้ากับข้ามาสู้กันสามร้อยกระบวนท่า! แล้วมาดูกันว่าจะเป็นข้าที่แข็งแกร่งกว่าหรือศิษย์พี่ใหญ่อย่างเจ้าจะมีฝีมือมากกว่า ล้างก้นของเจ้าให้สะอาด อย่าทำให้มือข้าสกปรกล่ะ!”
เพียงแค่ได้เห็นเยี่ยฉวน จูซือเจียก็ขบฟันแน่นและอยากจะเริ่มประลองให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย!
“ท้าประลองอะไรกัน? เจียเจีย พวกเรานัดหมายกันไว้ก่อนเจ้ากลับงั้นหรือ?” เยี่ยฉวนหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะที่มองฝ่ามือตนเองราวกับกำลังระลึกถึงตอนที่เขาฟาดก้นจูซือเจียเมื่อคืน เมื่อเห็นเยี่ยฉวนทำท่าทางเช่นนั้นนางก็ยิ่งโกรธแค้นจนแทบระเบิดออกมา
“เจียเจีย ให้ศิษย์พี่จินจัดการเจ้านี่แทนเถอะ”
ชายหนุ่มชุดเขียวที่มากับจูซือเจียก้าวขึ้นมาด้านหน้า เยี่ยฉวนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมา มันทำให้เขาหายใจไม่ออกชั่วขณะ
“เจ้าเป็นใคร?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม
“ฮ่าๆ ข้าแซ่จิน เป็นศิษย์สามัญแห่งหอแปรธาตุ ศิษย์พี่ใหญ่ฝึกฝนอย่างสันโดษมานานหลายปีจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่รู้จักผู้น้อยเช่นข้า ทว่า…”
ชายชุดเขียวหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา “ทว่าแม้แต่กฎของสำนักที่จะมีการประลองทุกๆ ห้าวันก็ลืมไปแล้วหรือ จริงๆ เลย… ศิษย์พี่ใหญ่คงงานยุ่งมากเป็นแน่ หรือจะเป็นอย่างที่เขาพูดกันว่าเมื่อรอดพ้นจากเคราะห์ใหญ่ที่สุสานเทพเจ้าแล้วสมองของท่านได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้เลย?”
ถึงแม้ชายชุดเขียวจะยิ้มตลอดเวลาที่พูด ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความจองหองและการเหยียดหยาม เขาจงใจดูถูกเยี่ยฉวนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อหวังที่จะทำให้เยี่ยฉวนอับอายต่อหน้าฝูงชน ชายผู้นี้ไม่พอใจมานานแล้วที่เยี่ยฉวนผู้แสนธรรมดาได้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ และสิ่งที่ทำให้ชายแซ่จินอิจฉายิ่งขึ้นไปอีกก็คือผลึกเส้นโลหิตมังกรที่อยู่ในตัวเยี่ยฉวนแทนที่จะเป็นตัวเขา!