บทที่ 58 ปัญหาใหญ่
บรรดาศิษย์ต่างขนานนามเขาว่าชายผู้คลั่งไคล้โอสถ…อุปนิสัยแสนดื้อรั้นรับมือได้ยากยิ่ง เวลานี้อาวุโสลำดับสองต้องการพบเยี่ยฉวน ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้กลับยอดเขาเมฆาอินทนิล เพราะต้องแวะไปช่วยชายชราตรวจสอบสมุนไพรเขี้ยวมังกรที่เหี่ยวเฉาใกล้ตายเสียก่อน
หนานกงเหรินเผยสีหน้าเคร่งเครียด เขาใช้เงินจำนวนมากซื้อสมุนไพรเขี้ยวมังกรนี้มาจากตลาดมืดจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว หากมันแห้งตายไปเช่นนี้คงเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ แม้ร่ำไห้ก็คงไร้น้ำตา…
เยี่ยชวนตรวจสอบอย่างละเอียดพร้อมยื่นมือไปหยิบดินมาบีบดู จากนั้นจึงถึงกับยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ที่สมุนไพรนี้เหี่ยวเฉาจนตายเป็นเพราะอาวุโสสองเอาใส่ใจรดน้ำมากเกินควรจนท่วมต่างหาก! สมุนไพรเขี้ยวมังกรปลูกไม่ยากหากเทียบกับหญ้าชนิดอื่นๆ มันไม่ต้องการปราณวิญญาณฟ้าดินมากมายในการบำรุงเลี้ยง แต่ต้องพึงระวังและใส่ใจเป็นพิเศษเรื่องการรดน้ำ…ไม่ควรปล่อยให้แห้งแต่ก็ไม่ควรรดน้ำมากเกินไป
“เปลี่ยนดินเสีย จากนี้เดือนหนึ่งควรรดน้ำเพียงครั้งเดียว แต่หนึ่งครั้งที่ว่าจะต้องรดให้ชุ่ม” เยี่ยชวนตบดินในมือก่อนตั้งท่าหมุนกายจากไป
“เอ๊ะ! รอก่อนสิ! เท่านี้ก็เพียงพอแล้วหรือ?” ชายชราจับแขนเสื้อของเยี่ยฉวนเพราะยังไม่วางใจ ท่าทางเช่นนั้นไร้มาดของอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่โดยสิ้นเชิง…ราวเขาเป็นชาวนายากจนผู้หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวเท่านั้น
“ไม่ให้ทำเช่นนี้แล้วท่านคิดว่าควรทำอย่างไร? รดน้ำทุกวัน…แล้วเอาสมุนไพรเขี้ยวมังกรไปต้มซุปกินหรือคั้นเป็นเครื่องดื่มงั้นรึ?!”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะพลางสะบัดมือและเดินออกไป
แม้อาวุโสสองจะยังคลางแคลงใจ แต่ก็ต้องทำตามเพื่อรอผลลัพธ์หลังจากนั้นด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เมื่อกลับมาถึงลานกว้างบนยอดเขาเมฆาอินทนิล เยี่ยฉวนสั่งการให้ปีศาจเพลิงไปเก็บสมุนไพรหลายชนิด จากนั้นจึงเข้าไปที่ห้องตำราก่อนนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นเพื่อเริ่มทำการฝึกตน
การปะทะกับอี้สั่วเมื่อครู่เป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้น การประลองครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เจ้าหอแปรธาตุจินจื่อคุนและอาวุโสสามผู้อยู่เบื้องหลังย่อมมีแผนการสกปรกเตรียมไว้ คนเหล่านั้นไม่มีทางนิ่งเฉยปล่อยให้เขาเข้าร่วมการประลองอย่างราบรื่นเป็นแน่!
บริเวณเชิงเขาเยี่ยฉวนมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจราวไม่รู้สึกถึงเรื่องร้ายแรงใดๆ แต่เมื่อกลับมานั่งเงียบๆ เพียงลำพังในตัวเรือนบนยอดเขาเมฆาอินทนิลเขากลับสัมผัสถึงแรงกดดันที่หนาหนัก ภายนอกเขาต้องรับมือกับโท่วป่าเซียงเจ้าสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันภายในจากสองเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างจินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสาม
“ให้วิเคราะห์แล้ว…ท้ายที่สุดระดับขั้นการฝึกตนของร่างกายนี้ยังไม่เพียงพอ”
เยี่ยฉวนพึมพำก่อนรวบรวมพลังฝึกตนอย่างเงียบเชียบ ขณะที่เขาสูดหายใจ…เงาเลือนรางเป็นร่างของมังกรปรากฏขึ้นในอากาศขยับยืดและหดตัวอยู่หลายครั้ง
โลหิตบริสุทธิ์ของผู้ฝึกตนขั้นอู่เจ๋อระดับที่เจ็ดสำคัญยิ่ง หากผ่านขั้นนี้ไปได้ก็สามารถบรรลุจากความเป็นมนุษย์สามัญสู่ขั้นจอมยุทธ์ซิวฉือ สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพเซียนและเวทมนตร์ต่างๆ ได้ แต่ถ้าไม่สามารถฝ่าฟันจนบรรลุไปถึงระดับที่สูงกว่าได้ ผู้ฝึกตนจะติดอยู่ในระดับขั้นนี้…ไม่อาจเข้าสู่วิถีทางแห่งผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้ตลอดไป
เยี่ยฉวนคำนวณโดยละเอียดจึงพบว่าตนอยู่ในขั้นตอนการขัดเกลาโลหิตมาเป็นเวลานานแล้ว แม้พลังปราณจะยังไม่สูงส่งแต่รากฐานยิ่งนานยิ่งมั่นคง ยันต์กลืนกินสวรรค์ในร่างนับวันยิ่งควบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นมังกรตัวหนึ่ง
เยี่ยฉวนท่องเคล็ดวิชาปีศาจกลืนกินสวรรค์แผ่วเบาขณะทำการฝึกตนอย่างเงียบเชียบ พลางส่งกระแสจิตควบคุมความก้าวหน้าอย่างเป็นระเบียบทีละขั้นตอน
พลังที่สูญเสียต้องฟื้นฟูกลับคืน…ดวงจิตที่บาดเจ็บต้องฟื้นฟูให้แข็งแกร่ง ระดับขั้นการฝึกตนก็ต้องก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ทว่าเขาไม่ได้กระตือรือร้นที่จะเร่งร้อนใช้เคล็ดวิชาลับ การเปลี่ยนผ่านจากขั้นอู่เจ๋อระดับที่เจ็ดสู่ขั้นซิวฉือถือเป็นขั้นตอนที่แตกต่างรอบด้าน เขาจึงเตรียมการอย่างรอบคอบและกำลังรอจังหวะที่เหมาะสม
ชั่วโมงยามแห่งการฝึกตนมักผ่านไปไวเสมอ หนึ่งวันจึงผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นปีศาจเพลิงที่ออกไปเก็บยาสมุนไพรยังไม่กลับมา ทว่าจ้าวต้าจื่อกลับมาพบเขาโดยไม่ได้เชิญ…ครั้นเห็นศิษย์พี่ใหญ่เขาก็ถอนหายใจพร้อมเผยสีหน้าลำบาก
“เจ้าอ้วน เป็นอะไรไป เจอเรื่องยุ่งยากใดมาหรือ? ” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม
“ถูกแล้วศิษย์พี่ใหญ่! ข้าเจอเรื่องยุ่งยาก…เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ!”
เจ้าอ้วนเผยสีหน้าขมขื่นราวสาวน้อยที่โดนทำมิดีมิร้ายมาแต่ไม่มีที่ให้ร้องทุกข์ ดวงตาเศร้าสร้อยจนแม้แต่เยี่ยฉวนที่มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกขนลุก “พอแล้ว! เจ้าอ้วน มีการใดก็เร่งพูดมาเถิด อย่าส่งสายตาละห้อยแบบนั้น หากเป็นเด็กหญิงตัวน้อยมีแววตาเช่นนั้นข้ายังจะมีแก่ใจสงสาร แต่เป็นคนอ้วนเช่นเจ้า…ต่อให้ตาบอดก็คงตกใจจนวิ่งหนี! หากข้าไม่รู้จักเจ้าดีคงนึกว่าเป็นโรคจิต ว่าอย่างไร? ศิษย์น้องหญิงผู้ใดทิ้งเจ้า?”
“ ไม่มีๆ ไม่เคยมีศิษย์น้องหญิงผู้ใดมาชอบ ดังนั้นข้าไม่เคยโดนทิ้งหรอก แต่…ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า…ข้า ไม่มีเงินแล้ว” จ้าวต้าจื่อเผยสีหน้าสีหน้าระทมทุกข์ราวคนอกหัก สำหรับเขาการถูกขับออกจากสำนักไม่สำคัญ แต่การไม่มีเงินถือเป็นปัญหาใหญ่!
ในสายตาคนธรรมดา ผู้ฝึกตนที่เหยียบบนกระบี่บินโบยบินไปมาอย่างอิสระเสรีนั้นช่างสำราญใจไร้ที่เปรียบ ทั้งยังเป็นเรื่องสูงส่งเหนือคน แต่ความเป็นจริงการฝึกตนคือการค้าที่เหมือนเผาเงินทิ้งต่างหาก ทุกๆ เรื่องล้วนหนีไม่พ้นเงินตรา ขอใช้ห้องฝึกลับเพื่อซึมซับพลังปราณวิญญาณฟ้าดินก็ต้องใช้เงิน การบำรุงรักษาอุปกรณ์อาวุธล้วนต้องใช้เงิน รวมถึงซื้อก้อนผลึกหรือยาเม็ดก็ต้องใช้เงินเช่นกัน ซ้ำยังเป็นเงินจำนวนมาก หากไม่มีเงินผู้ฝึกตนจะใช้ชีวิตภายในสำนักอย่างยากลำบากเพราะไม่อาจเคลื่อนไหวไดแม้แต่ก้าวเดียว!
“สำนักจ่ายเงินครองชีพให้เจ้าทุกเดือนไม่ใช่หรือ? นี่เพิ่งจะต้นเดือน…เจ้าใช้ไปหมดแล้วงั้นรึ?!” เยี่ยฉวนหรี่ตามองอีกฝ่าย มิน่าเจ้าหมอนี่ถึงมีท่าทีผิดปกติแต่เช้า ที่แท้ก็มาขอยืมเงินนี่เอง!
“โดนศิษย์พี่หญิงเจียเจียแย่งไปหมด” จ้าวต่าจื่อกล่าวตอบ
เยี่ยฉวนประหลาดใจ “เพราะเหตุใด? เจ้าทำเรื่องน่าอับอายกับนางงั้นรึ?!”
“ข้าน่ะหรือจะทำเช่นนั้น?!”
เจ้าอ้วนบ่นอุบอิบ จูซือเจียเป็นใคร? นอกจากศิษย์พี่ใหญ่…ผู้ใดจะกล้าทำเรื่องน่าละอายกับนาง?!
“แล้วเป็นเพราะเหตุใดเล่า?” เยี่ยชวนเอ่ยถามด้วยความฉงน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านนั่นแหละ! เป็นเพราะข้าพาท่านไปเดินตลาดมืดวันก่อน ท่านเดินออกไปพร้อมกับหลิวหงอย่างอารมณ์ดี แต่ศิษย์พี่หญิงเจียเจียโมโห ความโกรธทั้งหมดจึงมาตกอยู่กับข้า!” เจ้าอ้วนเผยสีหน้าทุกข์ระทมขณะโอดครวญ
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เยี่ยฉวนยกยิ้มพลางนึกถึงท่าทางจูซือเจียผู้โกรธจนเอาแต่กระทืบเท้าเร่าๆ กลางตลาดมืด “เจ้าอ้วน นี่เป็นเรื่องยุ่งยากตรงไหนกัน? ครอบครัวของเจ้าเปิดร้านค้าข้าวหลายแห่งในอาณาจักรต้าฉินกิจการออกใหญ่โตไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงโศกเศร้าจนมาโต้เถียงกับข้าเพราะเรื่องเงินจำนวนเล็กน้อยเช่นนี้? ”
“ครอบครัวข้าค้าขายข้าวสารกิจการก็ใหญ่โตจริงอยู่ แต่ต่อมา…เพื่อส่งข้ามาร่ำเรียนการฝึกตนที่นี่ พวกเขาต้องขายทรัพย์สมบัติไปมากมาย ทั้งยังเจอเรื่องยุ่งยากบางอย่าง กิจการจึงถดถอยลงเรื่อยๆ”
เสียงของเจ้าอ้วนแหบพร่าลงเรื่อยๆ และหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ “เมื่อคืนวาน บ้านของข้าให้คนมาส่งข่าว ว่าท่านพ่อออกไปค้าข้าวต่างเมือง ไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า เงินทั้งหมดถูกปล้นไปไม่พอ…ท่านพ่อยังโดนทุบตีจนเจ็บหนัก จึงใช้เงินที่เหลืออยู่น้อยนิดรักษาท่านพ่อไปจนหมด ไม่มีเหลือพอจะส่งข้าให้ร่ำเรียนที่นี่ได้อีก ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามานี่เพื่อแจ้งข่าวบางอย่างให้ท่านแทนศิษย์พี่หญิงเจียเจีย อาวุโสลำดับสูงสุดให้ท่านไปที่ห้องโถงใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆาในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ เพื่อมอบรายชื่อผู้ที่จะเข้าร่วมงานประลองครั้งยิ่งใหญ่กับท่าน อีกอย่าง…ข้าต้องการมาลาท่านเป็นการส่วนตัว ข้า…ข้าจะออกจากสำนักหมอกเมฆาแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ?! เจ้าอ้วน! เจ้าจะออกจากสำนักหมอกเมฆารึ?” เยี่ยฉวนตกตะลึงยิ่ง
เจ้าอ้วนไม่ปริปากเอ่ยคำใด เพียงพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หลายปีมานี้ ข้ายังไม่ได้เป็นศิษย์ภายในสำนักเลย แม้บรรลุถึงขั้นซิวฉือระดับที่หนึ่งก็ไร้ประโยชน์ ยามนี้ท่านพ่อป่วยหนัก สภาพทางการเงินก็ขัดสน ข้าในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตต้องกลับไปแบ่งเบาภาระหนักตามหน้าที่ ศิษย์พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย…ก่อนหน้านี้ข้าบังอาจล่วงเกินท่านหลายครา วันนี้เกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าศิษย์พี่ใหญ่…”
จ้าวต้าจื่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากเด็กหนุ่มรักสนุกและเอาแต่แสวงหาความจรรโลงใจ กลับเติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ที่แบกรับความรับผิดชอบหนักอึ้งภายในชั่วข้ามคืน
“ช้าก่อน เจ้าอ้วน…อย่าด่วนตัดสินใจไป ต่อให้เจ้ารีบกลับบ้านไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้มากมาย ส่วนเรื่องเงินเรามาลองคิดหาหนทางแก้ไขกัน รอให้การประลองครั้งยิ่งใหญ่ผ่านไปเสียก่อน เราค่อยลงจากยอดเขาไปเยี่ยมท่านพ่อของเจ้าพร้อมกัน ข้าเองก็ไม่ได้ออกจากสำนักมานานแล้ว” เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้ม ที่ผ่านมาเจ้าอ้วนคอยติดตามรับใช้เขาจนวุ่นวายตัวเป็นเกลียว ยามนี้เมื่ออีกฝ่ายกำลังลำบาก เขาไม่อาจยืนดูเฉยๆ ได้
“ขอบคุณแล้ว! ขอบคุณยิ่งขอรับศิษย์พี่ใหญ่!”
ดวงตาจ้าวต้าจื่อเปล่งประกาย สิ่งที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอาการป่วยของบิดาด้วย แม้ตนบรรลุถึงขั้นซิวฉือระดับที่หนึ่งแต่เรื่องปรุงยาและรักษาโรคเขาก็ไม่ชำนาญ ฝึกตนอยู่ในสำนักหมอกเมฆามาหลายปีกลับเสียเปล่า ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นต่างออกไป…เมื่อก่อนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งใด แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นยอดฝีมือผู้ฉลาดรอบรู้ไปเสียทุกด้าน! แม้แต่อาวุโสลำดับสองยังมาขอคำชี้แนะ ดังนั้นหากลงจากยอดเขาไปช่วยรักษา…อาการบาดเจ็บของท่านพ่อคงไม่ไร้ความหวังอีกต่อไป!
เจ้าอ้วนรู้สึกยินดียิ่ง ทว่าเมื่อครุ่นคิดอีกครั้งสีหน้าก็ยังเป็นกังวล “ศิษย์พี่ใหญ่ แต่ช่วงนี้ท่านก็ต้องประสบปัญหาหลายเรื่องเช่นกัน ไหนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือการประลองครั้งยิ่งใหญ่ หนำซ้ำยังต้องคอยป้องกันภัยร้ายจากทั้งในและนอกสำนัก ข้าจะบังอาจรบกวนท่านได้อย่างไร? ”
“ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย จงรอข้าประเดี๋ยว”
เยี่ยฉวนยิ้มด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมราวไม่เห็นว่าการประลองครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามาเป็นเร่องสลักสำคัญใด เขาหมุนกายเดินกลับเข้าไปในห้องตำรา ก่อนหยิบพู่กันจรดลงบนกระดาษชั่วครู่ จากนั้นจึงยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้จ้าวต้าจื่อ “เจ้าอ้วน รับสิ่งนี้ไป…นำมันไปขายที่ตลาดมืด จำไว้ว่าอย่าตั้งราคาถูกนัก…อย่างน้อยต้องได้เท่านี้!”
เยี่ยฉวนยกนิ้วทั้งห้าพร้อมโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย…
“ห้าสิบตำลึง?” เจ้าอ้วนเอ่ยถาม
เยี่ยฉวนส่ายหน้า
“ห้าร้อยตำลึง?” เจ้าอ้วนตาเป็นประกายวาววับ!
เยี่ยฉวนก็ยังส่ายหน้า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ห้า…ห้าพันตำลึง?!”
จ้าวต้าจื่อเริ่มหายใจขัด ศิษย์พี่ใหญ่จะขายกระดาษแผ่นเล็กแผ่นเดียวในราคาหลายพันตำลึง! เขาเห็นผู้อื่นโง่เง่าหลอกง่ายหรืออย่างไร?!
จิตใจของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ครั้นคลี่พับกระดาษออกอ่านกลับพบเพียงตัวอักษรอ่านยากตวัดเต็มไปหมด ทั้งยังมีรูปโบราณต่างๆ ที่ดูเลอะเทอะสับสน นี่ไม่ใช่ผลงานอักษรศิลป์หรือเคล็ดวิชาใดๆ เป็นเพียงการขีดเขียนมั่วๆเท่านั้น “ศิษย์พี่ใหญ่! นะ…นี่มันคือสิ่งใดกันแน่?”
เขารู้สึกพิศวงยิ่ง! ในใจเกิดความผิดหวังรุนแรงจนเผยสีหน้าท้อใจ กระดาษแผ่นนี้อย่าว่าแต่จะขายได้ราคาเลย ให้โดยไม่เรียกเก็บเงินยังน่ากลัวว่าจะไม่มีผู้ใดต้องการ!
“เจ้าอ้วน ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งนี้คืออะไร จงเอาไปวางขายที่ตลาดมืด จะต้องมีคนดูออกและเห็นค่าอย่างแน่นอน! จำคำที่ข้าสั่งไว้เป็นพอ ไปเถิด! หากได้เงินก้อนนี้มาเจ้าและครอบครัวจะผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ เงินคงพอจะจัดการเรื่องราวไปได้สักระยะ” เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้ม ไม่อธิบายสิ่งใดมาก
“ก็ได้ ข้าจะลองดู!”
จ้าวจ้าจื่อยืดตัวลุกขึ้นบอกลาด้วยความกังวลหนักอึ้ง เมื่อเดินไปจนถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็หันกลับมาก่อนกล่าวออก “โอ้ จริงด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ สำหรับรายชื่อของคนที่จะเข้าร่วมงานประลองใหญ่ ท่านไปถามศิษย์พี่หญิงเจียเจียด้วยตัวเองจะเป็นการดียิ่ง! นางรอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสำนักดีที่สุด หลังจากข่าวเกี่ยวกับการประลองถูกประกาศออกไปเป็นวงกว้างรู้ ศิษย์ที่ออกไปฝึกนอกสำนักรู้เรื่องนี้ล้วนเร่งรีบทยอยกลับมา สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ต่างก็เตรียมการกันเป็นอย่างดี ท่านต้องเลือกศิษย์ชั้นเลิศผู้มากฝีมือที่แท้จริงจึงจะรับมือพวกเขาได้ ”
เขากล่าวแนะนำศิษย์พี่ใหญ่ไม่กี่คำก่อนก้าวยาวๆจากไป
“ศิษย์ชั้นเลิศอย่างนั้นหรือ?!”
เยี่ยฉวนพึมพำเบาๆ อย่างเยาะเย้ย แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วจึงตัดสินใจเดินทางไปหาจูซือเจียบนยอดเขาที่นางพำนักอยู่…