บทที่ 61 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
การจะผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้นั้นต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีอีกทั้งยังต้องอาศัยโชคชะตาร่วมด้วย หากเป็นขั้นเล็กๆ อาจต้องพึ่งโชคเล็กน้อยในขณะที่ขั้นใหญ่กว่าก็ต้องพึ่งโชคที่มากกว่าเช่นกัน
ยาเม็ดเชี่ยนหยางมีปราณวิญญาณพิสุทธิ์ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณอีกทั้งยังชำระล้างเส้นเอ็นและไขกระดูก ซึ่งให้ผลลัพธ์เท่ากับความพยายามฝึกตนถึงหนึ่งร้อยปี ยาเม็ดที่ขัดเกลาด้วยแกนผลึกแก้วจากอสุรกายพันขานี้เป็นโชคโดยบังเอิญของเยี่ยฉวนผู้อยู่เพียงขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ด เขาไม่เคยคาดคิดว่าระหว่างทางไปอ่าวกลืนน้ำเพื่อค้นหาเมล็ดชิ่งหยางจะเจอกับอสุรกายพันขายังไม่โตเต็มวัยเข้าพอดี
เยี่ยฉวนหยิบยาเม็ดเชี่ยนหยางทั้งสองขึ้นมาหมายจะกลืนเข้าไปทันที แต่แล้วก็เปลี่ยนใจแยกใส่ขวดผลึกแก้วสองขวดเอาไว้ ก่อนจะออกไปยืนบนยอดเขาเมฆาอินทนิลและมองไปรอบสำนักหมอกเมฆาจนทั่ว จากนั้นจึงลงจากเขาและเข้าไปในสำนัก เขาเพิกเฉยต่อผู้คนที่พากันชี้ไม้ชี้มือและซุบซิบนินทา ใช้สองขาหยั่งดูความใหญ่โตและสูงชันของยอดเขา ชายหนุ่มมักจะยืนมองภูเขาสูงตระหง่านโดยไม่ขยับเขยื้อน ใช้ปลายนิ้วสัมผัสหินโบราณเย็นยะเยือกและพึมพำกับตัวเอง
เยี่ยฉวนเข้าร่วมสำนักหมอกเมฆามาพักใหญ่แล้วแต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินสำรวจรอบสำนักหลังฟื้นคืนชีพ เขาสำรวจดูสำนักทั้งส่วนที่คุ้นเคยและส่วนที่แปลกตา เหตุการณ์ในอดีตที่จางหายไปราวกับควันและความทรงจำที่เก็บไว้จนฝุ่นเกาะค่อยๆ ไหลย้อนกลับมา
หลังจากกลืนกินยาเม็ดเชี่ยนหยางไปได้ไม่นาน ปีศาจเพลิงก็ทำการฝึกตนอย่างสันโดษทันที การขัดเกลายาเม็ดเชี่ยนหยางทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายและตระหนักถึงความลึกซึ้งของการฝึกตน เขากลืนกินยาเม็ดนี้ไปตั้งแต่เที่ยงวันและลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในยามกลางคืน เป็นเวลาที่เยี่ยฉวนกลับมาจากการเดินเล่นรอบสำนักพอดิบพอดี
ปีศาจเพลิงเหลือบเห็นยาเม็ดทั้งสองที่เหลืออยู่ในขวดผลึกแก้ว เยี่ยฉวนวางยาเม็ดอันล้ำค่านี้ลงบนพื้นหน้าตาเฉย
“ท่านชาย ทะ…ท่านยังไม่ได้กินยาเม็ดเชี่ยนหยางหรอกหรือ? ท่านเองก็บาดเจ็บ แถมพลังชีวิตและจิตวิญญาณของท่านก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูไม่ใช่หรือ?” ปีศาจเพลิงสับสนแต่ไม่แปลกใจ เขาเชื่อว่าเยี่ยฉวนย่อมมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ ในตอนที่เขาพบกับเยี่ยฉวนครั้งแรกในตลาดมืด เขาคิดว่าการกระทำของเยี่ยฉวนพิลึกน่าฉงน แต่บัดนี้ปีศาจเพลิงเข้าใจแล้วว่าเยี่ยฉวนไม่ได้แปลกประหลาดเพียงแต่คนทั่วไปไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
“ข้ากินแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม” เยี่ยฉวนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมนัก
ปีศาจเพลิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “ท่านชาย การประลองกำลังจะเริ่มในไม่ช้า สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ต่างเตรียมพร้อมมานาน แล้วท่าน…”
ปีศาจเพลิงรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ ระดับการฝึกตนของเยี่ยฉวนจัดว่าต่ำสุดในบรรดาศิษย์พี่ใหญ่จากทั้งสามสำนัก เกรงว่าจะต่ำสุดในบรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองทั้งหมดด้วยซ้ำ เขาจะต่อสู้ในการประลองที่จะมาถึงด้วยระดับการฝึกตนที่ด้อยกว่าและอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่ที่เยี่ยฉวนคิดยอมแพ้?
แต่แล้วปีศาจเพลิงก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป เขาคิดได้อย่างไร? ดูเยี่ยฉวนสิ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เหมือนคนคิดยอมแพ้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก แค่พวกลิ่วล้อตัวเล็กๆ เท่านั้น แม้ข้าจะบาดเจ็บแต่ก็กำจัดมันได้เพียงขยับนิ้ว”
เยี่ยฉวนยิ้มอย่างมีเลศนัย วางขวดผลึกแก้วลงบนพื้นและนั่งขัดสมาธิลง “อี้เหยียนจื่อ ข้าจะถอดจิตเข้าไปในสำนัก ฝากเจ้าช่วยปกป้องตัวข้าระหว่างนี้ด้วย”
เยี่ยฉวนใช้เคล็ดวิชาลับเฉพาะถอดดวงจิตไปอีกครั้งโดยไม่รอคำตอบของปีศาจเพลิง
ปีศาจเพลิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก การที่จอมยุทธ์ขั้นอูเจ๋อสามารถถอดจิตได้เปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการฝึกตนของเขาไปโดยสิ้นเชิง เขาเดินทางร่อนเร่มานานหลายปีแต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีจอมยุทธ์ขั้นอูเจ๋อที่สามารถถอดจิตได้มาก่อน แม้แต่ผู้ฝึกตนชั้นเลิศขั้นซิวฉือก็ยังถือเป็นเรื่องยาก ต้องชำระล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้าสมาธิ แล้วเยี่ยฉวนถอดจิตอย่างง่ายดายราวกับการกินและนอนได้อย่างไร? ถอดดวงจิตไปโดยไร้การคุ้มกันเช่นนี้ไม่กลัวว่าดวงจิตจะสูญหายไปในยามราตรีและไม่สามารถกลับมาได้อีกหรือ?
ปีศาจเพลิงพลันได้สติขึ้น เหงื่อออกท่วม เขารีบนั่งขัดสมาธิลงข้างเยี่ยฉวนเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันทันที
แม้การฝึกตนของปีศาจเพลิงจะบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าแต่เขาไม่เคยหาญกล้าพอจะถอดดวงจิตออกไปท่องราตรี มีคนเพียงสามพวกที่จะทำเช่นนี้ หนึ่งคือพวกมือใหม่ผู้ไม่เข้าใจสิ่งใด สองคือเหล่าปรมาจารย์ผู้ปราศจากความกลัว และสามคือจอมมารยิ่งใหญ่ผู้ทำตามใจปรารถนา แล้วเยี่ยฉวนเป็นคนจำพวกใดกัน?
ปีศาจเพลิงข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ ส่งกระแสจิตบริสุทธิ์ออกไปตามหาตำแหน่งดวงจิตของเยี่ยฉวน
ดวงจิตของเยี่ยฉวนลอยล่องบนท้องฟ้าอยู่ชั่วครู่ เขาลอยไปใกล้หอแปรธาตุด้วยความช่วยเหลือของสายลมและตรงไปยังยอดเขาสูงชันแห่งหนึ่ง
กลางดึก ผู้คนต่างตกอยู่ในห้วงนิทราไม่ก็ฝึกตนอย่างเงียบเชียบ เปลวเทียนสลัวเปล่งแสงริบหรี่ในห้องลับใต้ดินอันมืดมิด อาวุโสลำดับสามนั่งอยู่บนเสื่อ ดวงตาสองข้างปิดสนิท จินจื่อคุนนั่งอยู่เบื้องหลังด้วยสีหน้าหดหู่และศีรษะก้มต่ำ
“อาวุโสลำดับสาม ท่านคิดเห็นอย่างไรกับแผนการนี้?” จินจื่อคุนถาม
“เป็นแผนที่ประเสริฐยิ่งนัก น่าเศร้าที่ความเป็นจริงมันโหดร้าย แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
อาวุโสลำดับสามหันไปมองจินจื่อคุนเชื่องช้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แผนนี้ต้องอาศัยคนที่ไอ้เด็กเยี่ยฉวนไว้ใจ เจ้าจะไปหาคนแบบนั้นได้จากที่ใด? มีผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประลองทั้งหมดเจ็ดคนเท่านั้น ถึงไอ้บัดซบเยี่ยฉวนจะโง่เง่าไม่รู้ความเพียงใดก็ยังมีนังเด็กจูซือเจียคอยชี้ทางให้อยู่ดี แล้วคนของเราจะแทรกซึมเข้าไปได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้…”
จินจื่อคุนพูดไม่ออก เหงื่อผุดพรายบนใบหน้า เขาหมกมุ่นอยู่กับวิธีการแก้แค้นจนลืมจุดเชื่อมโยงที่สำคัญไป เจ้าแห่งหอแปรธาตุมองดูใบหน้าซูบตอบของอาวุโสลำดับสามก่อนจะแข็งใจพูดต่อไป “อาวุโสลำดับสาม แล้วอี้สั่วเล่า? เป็นศิษย์สายตรงของท่านซ้ำยังออกไปฝึกตนภายนอกมานาน เรื่องความแข็งแกร่งไม่มีปัญหาแน่ หากเรายืนยันอย่างแข็งขันให้อี้สั่วเข้าร่วมการประลองเพื่อกอบกู้สำนักในงานประชุมใหญ่พรุ่งนี้ เยี่ยฉวนไม่รอดแน่ ท่านอาวุโสสูงสุดก็คัดค้านไม่ได้ อย่าลืมว่าขั้นการฝึกตนของเยี่ยฉวนต่ำต้อยราวเศษสวะอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เลือกพวกสวะไปเป็นตัวแทนสำนักตามอำเภอใจไม่ได้หรอก!”
“แผนนี้เยี่ยมยอด แต่น่าเสียดายที่มันสายไปเสียแล้ว”
อาวุโสลำดับสามพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้าเศร้าสลด “ถึงอี้สั่วจะหนุ่มแน่นและอนาคตไกล แต่เขายังเด็กเกินไปแถมยังหุนหันพลันแล่น เขาขัดแย้งกับเยี่ยฉวนหลังกลับจากการเดินทางเมื่อไม่นานนี้ เรื่องอะไรที่เยี่ยฉวนจะเลือกเขาเข้าร่วมการประลอง? จินจื่อคุน เจ้าเป็นถึงเจ้าแห่งหอแปรธาตุแต่กลับไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“สองวันที่ผ่านมาข้าเก็บตัวฝึกตนอย่างสันโดษมาขอรับ”
จินจื่อคุนเหงื่อตกอีกครั้ง สีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาลืมการตายของจินหัวลูกชายของตนไปได้อย่างไร? เขาทนอยู่กับความอัปยศอดสูอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการมาเนิ่นนาน ได้แต่มองดูเยี่ยฉวนเป็นอิสระมิหนำซ้ำได้รับความชื่นชมจากผู้คนในสำนักมากขึ้นทุกวัน บัดนี้เขาอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว จินจื่อคุนหอบหายใจด้วยความโกรธ “เราต้องทำลายไอ้บัดซบเยี่ยฉวนให้สิ้นซากและลากมันลงมาจากตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ประจำสำนักให้ได้ ต้องลงมืออย่างแนบเนียนด้วย อาวุโสลำดับสาม ท่านบอกมาเลยว่าต้องทำอย่างไร?”
“ยาก ยากเย็นนัก! เรายังมีเวลาอีกหนึ่งคืน คิดดูอีกทีเถอะ!”
อาวุโสไป๋เยี่ยนหูส่ายศีรษะพลางหลับตาลงช้าๆ
การลากเยี่ยฉวนลงจากตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่เป็นเรื่องยากเมื่อฝ่ายนั้นมีแรงสนับสนุนจากอาวุโสลำดับสองและอาวุโสสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่อาจแตะต้องเยี่ยฉวนกลางวันแสกๆ ได้ ทว่าในการประลองอันยิ่งใหญ่ระหว่างสามสำนักนี้เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก แต่การจะลงมืออย่างแนบเนียนนั้นไม่ง่ายนัก
การประลองอันยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น คนบางกลุ่มเป็นสุข ทว่าบางกลุ่มกลับเป็นกังวล
จูซือเจียและอาวุโสสูงสุดรวมถึงคนอื่นๆ ในสำนักต่างกังวลว่ากลุ่มผู้เข้าร่วมประลองจะพ่ายแพ้ราบคาบกลับมาหรืออาจถึงขั้นสูญเสียชีวิต จินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามก็แอบกลัดกลุ้มเมื่อคิดถึงแผนการกำจัดเยี่ยฉวนอย่างแนบเนียน การทำดีนั้นยากแต่การทำชั่วก็ไม่ง่ายเช่นกัน!
“อาวุโสลำดับสาม ท่านอาวุโสลำดับสาม…”
จินจื่อคุนร้องเรียกแผ่วเบา แต่อาวุโสลำดับสามทำหูทวนลมเสียจนเขาต้องยอมจากไป คล้อยหลังจินจื่อคุนไปไม่นานอากาศในห้องลับใต้ดินพลันบิดเบี้ยวก่อนที่ชายในชุดคลุมสีดำจะปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ อาวุโสลำดับสามผู้เย็นชาและเมินเฉยกลับหมอบราบลงทันที “ข้าจึงทำความเคารพทูตแห่งโลกันตร์!”
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด! ไป๋เยี่ยนหู เจ้าคงรู้บาปของเจ้า…”
ร่างในชุดดำนั้นเตี้ย เล็ก และผอมแห้ง ใบหน้าพร่ามัวมองเห็นไม่ชัดเจน น้ำเสียงประหลาดและเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เขาเงยหน้าขึ้นตั้งแต่พูดไม่ทันจบประโยค ดวงตาทอประกายแข็งกร้าวก่อนจะยกมือขึ้นฟาดเพดานดำสนิท
ทั้งฝุ่นและเศษหินปลิวว่อนไปทั่วทุกแห่ง
นกกระจอกที่หลับอยู่บนยอดไม้ในลานกว้างพากันแตกรังก่อนจะร่วงลงมาตายบนพื้น ปลาคาร์พ ก้อนหินในสวนหิน และน้ำในบ่อเล็กลอยขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงมา ปลาคาร์พกลับหงายท้องเท้งเต้งในน้ำ
ชั่วพริบตา คลื่นกระแทกจากใต้ดินกว่าร้อยเมตรได้สังหารทุกชีวิตบนผืนดินอย่างไร้ความปรานี
คลื่นกระแทกรุนแรงราวกับอากาศถูกฉีกทึ้ง ณ มุมหนึ่งของลานกว้าง ดวงจิตของเยี่ยฉวนบิดเบี้ยวราวกับกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และแตกดับไปเสียตรงนี้ เขาพยายามดิ้นรนหนีไปให้เร็วที่สุดด้วยความช่วยเหลือของสายลม ลมกระโชกแรงพัดอยู่เบื้องหลัง ใบหน้าขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและไล่ล่าหมายจะกลืนกินวิญญาณของเยี่ยฉวนให้จงได้!