บทที่ 63 โลหะไม่กลายเป็นเหล็กกล้า
ผู้ใต้บังคับบัญชาของอาวุโสลำดับสามนั้นราวกับฝูงหมาป่าและพยัคฆ์ร้ายที่เปลี่ยนทุกสิ่งในสำนักให้กลับหัวกลับหางในยามราตรี ทว่าเมื่อบริวารเหล่านี้ไปเยือนภูเขาม่านหมอกอันเป็นที่พำนักของอาวุโสลำดับสองด้วยเสียงอึกทึก พวกเขาก็ถูกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
หนานกงเหริน ผู้อาวุโสลำดับสองเป็นที่รู้จักในนามผู้คลั่งไคล้โอสถเนื่องจากภูเขาของเขาอุดมไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด ขั้นการฝึกตนของเขานั้นน่าเกรงขามอีกทั้งยังเจ้าอารมณ์ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าไปที่ภูเขาของเขานัก แต่ครั้งนี้เหล่าบริวารของอาวุโสลำดับสามบุกรุกภูเขาโดยไม่คาดคิดและถือวิสาสะบุกค้นทั่วภูเขาม่านหมอกทำให้อาวุโสลำดับสองคับแค้นใจยิ่ง พวกมันจึงโดนจัดการจนกลิ้งหลุนๆ ลงเขามาอย่างคนโง่เง่าพร้อมรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย
เหล่าผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสในสำนักมักสงวนตัวไม่ลงมือกับศิษย์ตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้และปล่อยให้ทหารอารักขาจัดการ ทว่าอาวุโสลำดับสองกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเลือกที่จะสั่งสอนบทเรียนแก่คนเหล่านี้ด้วยตนเอง ผู้คนที่ต่อต้านเขากล่าวกันว่าอาวุโสลำดับสองใช้ความสูงอายุข่มผู้อื่น เป็นใหญ่เป็นโตแต่กลับรังแกผู้น้อย ผลที่ตามมาคืออาวุโสลำดับสองฉีกยันต์สื่อสาร จิตสังหารแผ่ซ่านจากภูเขาเบื้องหลัง บ่งบอกว่าคนผู้นั้นจะต้องทุกข์ทรมานกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
หนานเทียนโตวผู้ฝึกตนอย่างสันโดษบนภูเขาเบื้องหลังปรากฏตัวพร้อมพลังอันแข็งแกร่ง เขาทารุณเหล่าบริวารที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างไร้ความปรานี เมื่อเทียบกันแล้วเห็นทีจะโหดเหี้ยมกว่าอาวุโสลำดับสองเสียอีก แม้ลักษณะนิสัยของอาจารย์และศิษย์จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเมื่อได้ลงมือแล้วจะไม่มีคำว่าอ่อนข้อ เหล่าบริวารอวดดีจำนวนมากถูกจัดการจนพ่ายแพ้ราบคาบและล่าถอยกลับไปยังยอดเขาพยัคฆ์ขาว
ขั้นการฝึกตนของหนานเทียนโตวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วหลังการฝึกตนอย่างสันโดษ แม้แต่เยี่ยฉวนที่นั่งอยู่ในลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาอินทนิลยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเยือกเย็นดุจน้ำแข็งและปราณกระบี่บินของเขา ปราณกระบี่แหลมคมเช่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ร้ายกาจของเก้ากระบี่สะเทือนสรวง!
เยี่ยฉวนยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของหนานเทียนโตว ตอนนี้เขามั่นใจในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของตนยิ่งกว่าเดิม
หลังรุ่งสาง เยี่ยฉวนปัดกวาดจนทั่วก่อนจะออกเดินทาง เมื่อมาถึงหอหมอกเมฆาก็พบว่าผู้อื่นมากันครบแล้ว เหล่าศิษย์ชั้นเลิศที่เพิ่งกลับจากการเดินทางรวมถึงอี้สั่วต่างอยู่กันพร้อมหน้า มิหนำซ้ำอี้สั่วยังยืนอยู่แถวหน้าสุดอีกด้วย
“เยี่ยฉวน การประลองอันยิ่งใหญ่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นวันนี้เจ้าต้องออกเดินทางแล้ว เจ้าได้ตระเตรียมรายชื่อผู้ที่จะติดตามเจ้าไปในศึกครั้งนี้แล้วหรือยัง?” อาวุโสสูงสุดถามขึ้น
ปัจจุบันสำนักหมอกเมฆากำลังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นการประลองอันยิ่งใหญ่นี้ได้กำหนดให้ศิษย์พี่ใหญ่จากแต่ละสำนักเป็นผู้นำและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ศิษย์พี่ใหญ่จากสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ล้วนแต่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงกลัวว่าระดับการฝึกตนขั้นอูเจ๋อของเยี่ยฉวนจะทำให้สำนักพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชกว่าที่เคย
แม้ทุกคนจะมองโลกในแง่ร้ายจนแทบสิ้นหวังแต่งานนี้ก็ถือเป็นงานใหญ่ อาวุโสสูงสุดจึงถามเยี่ยฉวนเป็นการส่วนตัว หากจะต้องพ่ายแพ้อย่างน้อยก็ขอให้แพ้อย่างมีเกียรติไม่น่าอับอายจนเกินไปนัก
“ท่านอาวุโสสูงสุด จะเป็นอะไรหรือไม่หากข้าไม่เข้าร่วมการประลองอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้?”
นี่มันเหลือเวลาอีกเท่าใด?
การประลองอันยิ่งใหญ่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว แต่มาขี้ขลาดจนอยากยอมแพ้เอาตอนนี้ ก่อนหน้านี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา? งานประเพณีอันยิ่งใหญ่นี้จัดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบสามปี เจ้าคิดว่านี่เป็นการละเล่นของเด็กที่คิดจะยอมแพ้ก็ทำได้ทันทีอย่างนั้นหรือ?
หอหมอกเมฆาที่แต่เดิมเงียบสงบกลับเกิดเสียงดังเอะอะเอ็ดตะโรราวกับตลาดผัก ทุกสายตาจับจ้องมายังเยี่ยฉวนด้วยความประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง และเกลียดชังโลหะที่ไม่อาจกลายเป็นเหล็กกล้าได้ บางคนถึงกับเยาะเย้ยและเดือดดาล
วันนี้จูซือเจียอยู่ในชุดสีแดงเพลิงเผยให้เห็นเรือนร่างไร้ที่ติดึงดูดสายตาบรรดาศิษย์ชายอย่างมาก ศิษย์หลายคนแอบชำเลืองมองนางครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างถึงกับจับจ้องโดยไม่ละสายตา หากเป็นเวลาปกติจูซือเจียผู้ดื้อรั้นและปากร้ายคงไม่ปล่อยคนหยาบคายพวกนั้นไปง่ายๆ แต่ในยามนี้สีหน้าของนางซีดเผือด สายตาเกรี้ยวกราดจับจ้องไปที่เยี่ยฉวน เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกรธจัด
ในการประลองอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ นางต้องใช้ความคิดอย่างหนักและถึงขั้นไปโน้มน้าวเหล่าศิษย์มีฝีมือเพื่อช่วยเหลือเยี่ยฉวนในทุกทางที่ทำได้ ใครจะคาดคิดว่าเขาจะมายอมแพ้เอาโค้งสุดท้ายเช่นนี้โดยไม่บอกผู้อื่นล่วงหน้า!
บนโลกนี้มีคนไม่ซื่อสัตย์อยู่มากมาย แต่เยี่ยฉวนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการล่อลวงบรรดาศิษย์น้องให้ตกหลุมพรางโดยแท้
จูซือเจียขบฟันแน่น คำพูดของจ้าวต้าจื่อผุดขึ้นมาในหัว ในที่สุดนางก็เข้าใจความโศกเศร้าของเจ้าอ้วน
“เป็นไปไม่ได้ สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์เห็นตรงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่จากแต่ละสำนักจะต้องเข้าร่วมการประลองอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้”
อาวุโสสูงสุดตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเกลียดโลหะที่ไม่ยอมกลายเป็นเหล็กกล้าเสียจริง ในยามนี้ไม่ว่าเยี่ยฉวนเต็มใจจะต่อสู้หรือไม่ก็มีแต่ต้องเข้าร่วมการประลองเท่านั้น เพราะสายเกินไปแม้แต่จะหาใครมาแทนที่เขาในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมได้ รายชื่อพร้อมแล้ว” เยี่ยฉวนเอ่ยอย่างไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฝืนใจทำสิ่งที่ตนไม่ปรารถนา เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์อดไม่ได้ที่จะถอยหนีตามๆ กันเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยฉวน
ในการประลองอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ สำนักหมอกเมฆาไม่ได้กลัวว่าจะมีโอกาสคว้าชัยชนะน้อย แต่ถึงขั้นกลัวว่าจะเพลี่ยงพล้ำอย่างน่าสมเพชเกินไป
เมื่อเยี่ยฉวนผู้มีหน้าที่นำเหล่าจอมยุทธ์เข้าสู่การประลองกลับมีท่าทีขี้ขลาดตาขาวตั้งแต่ก่อนการต่อสู้เช่นนี้ แล้วพวกเขาจะสู้ได้อย่างไร? การได้รับเลือกให้ไปร่วมประลองกับเขาจะไม่เป็นการขายหน้าเสียเปล่าหรือ?
จูซือเจียได้โน้มน้าวศิษย์ชั้นเลิศจำนวนมากที่มีระดับการฝึกตนโดดเด่นให้เห็นด้วยกับการเข้าประลอง ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทีของเยี่ยฉวนเช่นนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะล่าถอย
“ดี เจ้าอ่านออกเสียงเองเสีย!” อาวุโสสูงสุดสั่ง เขาไม่มีอารมณ์จะมาร้องขออย่างสุภาพในตอนนี้
“ผู้เข้าร่วมการต่อสู้นอกจากข้าในครั้งนี้มีจำนวนหกคน หนานเทียนโตว จูซือเจีย จ้าวต้าจื่อ อู๋หย่ง หวังลี่ และ…” เยี่ยฉวนมองดูทุกคนก่อนจะเอ่ยออกสองคำถ้วน “อี้สั่ว”
เสียงเซ็งแซ่ในหอเงียบกริบลงทันใด
ความขี้ขลาดของเยี่ยฉวนก่อนการประลองว่าน่าประหลาดใจแล้ว แต่ตอนนี้กลับน่าตกตะลึงเสียยิ่งกว่า
รายชื่อของเยี่ยฉวนเหนือความคาดหมายของทุกคน
หนานเทียนโตวและจูซือเจียถือว่าเป็นรายชื่อที่สมเหตุสมผล แต่เยี่ยฉวนคิดอะไรถึงได้พาจ้าวต้าจื่อไปด้วย? นอกจากความช่างสอพลอและหัวไวเล็กน้อยแล้วเขาก็เป็นแค่เนื้ออวบอ้วนดีๆ นี่เอง การพาเจ้าอ้วนไปด้วยเท่ากับการมอบคะแนนให้เหล่าปรมาจารย์ของสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์โดยง่าย
ชื่อของจ้าวต้าจื่อเกินความคาดหมายของทุกคน แต่ชื่ออู๋หย่งและหวังลี่นั้นคนส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง แม้แต่จูซือเจียก็งงงวย รายชื่อที่นางมอบให้เยี่ยฉวนไปมีชื่อเหล่านี้ด้วยหรือ? หลังจากพยายามหาคำตอบกันอย่างหนักก็ได้ความว่าทั้งสองคือช่างซ่อมบำรุงที่เพิ่งเข้ามาในสำนักได้ไม่นาน แทบจะไม่นับว่าเป็นศิษย์ชั้นนอกเสียด้วยซ้ำ
เดิมทีความเป็นไปได้ในการชนะการประลองครั้งนี้ก็ต่ำมากอยู่แล้ว ซ้ำร้ายแทนที่จะเลือกผู้เข้าร่วมประลองจากเหล่าศิษย์ชั้นเลิศมากมายแต่กลับเลือกจ้าวต้าจื่อที่อ้วนเผละและช่างซ่อมบำรุงที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก เยี่ยฉวนคิดบ้าบออะไรของเขาอยู่? พวกเขายังเสียหน้ากันไม่พออีกหรือ? หรือเขากลัวว่าจะพ่ายแพ้อย่างไม่น่าสังเวชมากพอ?
ทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่งพร้อมเผยสีหน้าแตกต่างกันไป
บ้างถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ ไม่ต้องพากันไปขายหน้าอย่างคนโง่เง่าไร้ปัญญา บ้างสั่นศีรษะอย่างสิ้นหวังและแอบถอนหายใจให้กับชะตากรรมอันน่าเศร้าของสำนักที่มีศิษย์พี่ใหญ่เช่นนี้ บ้างแอบเย้ยหยันและรอดูจุดจบของเยี่ยฉวน บ้างก็ตกตะลึงจนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อี้สั่วเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ อี้สั่วเป็นปรมาจารย์และเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย เขาบรรลุขั้นซิวฉือระดับสามตั้งแต่ยังเยาว์ แต่เป็นที่รู้กันว่าเขากับเยี่ยฉวนไม่ลงรอยกันนักและขัดแย้งกันทันทีที่พบหน้า การที่พวกเขาเจอหน้ากันได้โดยไม่ปะทะกันนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะพาเขาไปร่วมการประลองด้วยเช่นนี้
อี้สั่วประหลาดใจ จินจื่อคุนก็เช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติและเห็นว่าเยี่ยฉวนไม่ได้ล้อเล่น ทั้งสองบ้าคลั่งด้วยความปีติยินดี พวกเขากำลังครุ่นคิดหาวิธีกำจัดเยี่ยฉวนไปตลอดกาลแต่ไม่เคยคาดฝันว่าเยี่ยฉวนจะมามอบตัวให้ถึงหน้าประตูเช่นนี้
สวรรค์ประทานโอกาสมาให้โดยแท้ พระเจ้าจะพิพากษาเอง!
จินจื่อคุนยินดียิ่ง ทว่าอาวุโสลำดับสามกลับส่งสายตาห้ามปรามเป็นนัยๆ มาให้ เมื่ออาวุโสลำดับสามได้สติก็ไม่กล้าเผยความตื่นเต้นออกไปให้อีกฝ่ายล่วงรู้นัก โดยไม่รู้เลยว่าเยี่ยฉวนได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อยนั่นแล้ว แต่เขายังคงทำท่าทีนิ่งเฉยและลอบเย้ยหยันอีกฝ่ายอยู่ภายในใจ