บทที่ 65 ปีศาจเขาโค้ง
“ศิษย์น้องเทียนโตว เจ้าข้ามผ่านสภาวะตีบตันได้แล้วหรือยัง?” เยี่ยฉวนประเมินดูหนานเทียนโตว
“ยังขอรับ ข้ายังอยู่ขั้นซิวฉือระดับสาม”
หนานเทียนโตวตอบ แม้เขาจะยืนนิ่งแต่ปราณกระบี่คุกคามกลับแผ่ซ่านออกมา นิสัยไม่ค่อยแสดงความรู้สึกทำให้ชายหนุ่มดูเย็นชายิ่ง
“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์ไปถึงไหนแล้ว? ก่อรวมกระบี่บินจากพลังวิญญาณได้หรือยัง?” เยี่ยฉวนถามอีกครั้ง
หนานเทียนโตวตกตะลึงจนพูดไม่ออก มือขวาคว้าด้ามกระบี่โดยสัญชาตญาณ ดวงตาคมจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวนราวกับกระบี่คมกริบที่เพิ่งชักออกจากฝัก
เก้ากระบี่สะท้านสวรรค์เป็นเคล็ดวิชาโบราณที่เขาได้รับมาโดยบังเอิญ เมื่อฝึกปรือเคล็ดวิชานี้สำเร็จจะสามารถก่อรวมกระบี่บินขึ้นจากพลังวิญญาณและส่งกระบี่จำนวนมหาศาลออกไปพร้อมกันได้เพียงใจนึก พลานุภาพของเคล็ดวิชานี้ร้ายแรงนัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดในสำนักล่วงรู้ความลับนี้นอกจากท่านอาจารย์หนานกงเหริน แล้วเยี่ยฉวนรู้ได้อย่างไร?
“อย่าวิตกไป พลังของเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์นั้นแข็งแกร่งมากก็จริงแต่ข้าไม่ได้สนใจเคล็ดวิชาพวกนี้หรอก ข้าแค่บังเอิญรู้เกี่ยวกับมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
น้ำเสียงของเยี่ยฉวนราบเรียบ แรงกดดันจากหนานเทียนโตวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ชายหนุ่มหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เส้นทางการฝึกตนถือเป็นเส้นทางท้าทายสวรรค์ เคราะห์ร้ายที่ผู้ฝึกตนส่วนมากไม่รู้ว่าสิ่งสำคัญในการฝึกตนไม่ใช่ความเร็วแต่เป็นรากฐาน ผู้ฝึกตนควรเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและดวงจิต ควรฝึกตนให้ถึงจุดสูงสุดในทุกๆ ขั้นก่อนจะไปสู่ระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น เทียนโตว เจ้าต้องเข้าถึงแก่นแท้ของเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์เสียก่อนจึงจะก่อรวมกระบี่บินจากพลังวิญญาณได้ จงพยายามต่อไป”
เยี่ยฉวนชี้แนะแนวทางอย่างจงใจหรือไม่มิอาจทราบได้ก่อนจะเดินจากไป
แม้อาวุโสอันดับสองจะขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของหนานเทียนโตว ทว่าในความเป็นจริงแล้วหนานกงเหรินไม่เคยสอนอะไรเขาเลย ส่วนมากแล้วหนานเทียนโตวจะฝึกตนและหยั่งรู้ด้วยตนเอง เคล็ดวิชาเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์มีรายละเอียดมากมายที่แม้แต่อาวุโสอันดับสองก็ไม่เข้าใจ การได้ยินเยี่ยฉวนพูดถึงกระบี่บินจากพลังวิญญาณจึงทำให้หนานเทียนโตวผู้สงบราวกับน้ำนิ่งอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
หนานเทียนโตวได้สติเมื่อเห็นเยี่ยฉวนเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และรีบไล่ตามไป “ศิษย์พี่ใหญ่ การประลองอันยิ่งใหญ่จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อใดหรือ?”
“เราจะออกเดินทางทันทีที่เจ้าอ้วนกลับมาถึง เทียนโตว ไปพบเจ้าอ้วนที่ตลาดมืดและบอกเขาทีว่าเราล่าช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เยี่ยฉวนจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หนานเทียนโตวโค้งคำนับรับคำสั่งอยู่ข้างหลังก่อนจะรีบเร่งไปยังตลาดมืดใต้ดิน แม้ไม่ได้เอ่ยคำใดแต่เขาเคยดูถูกเยี่ยฉวนในใจยามอยู่เคียงข้างเยี่ยฉวนตามคำสั่งของหนานกงเหรินในกาลก่อน แต่บัดนี้เขาตระหนักแล้วว่าเยี่ยฉวนนั้นไม่ธรรมดาผิดจากภาพลักษณ์ภายนอกนัก
‘เขาล่วงรู้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์ของข้าซ้ำยังเข้าใจอย่างถ่องแท้ หรือนี่จะเป็นความรอบรู้จากการอ่านตำรากันนะ?’
ตอนนี้หนานเทียนโตวไม่อาจมองข้ามศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ได้อีกต่อไป มีแต่จะยิ่งเคารพนับถือมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ ยอดเขาเมฆาอินทนิล เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิในห้องฝึกตน รอคอยเวลาออกเดินทางอย่างใจเย็น
ในขณะเดียวกัน ณ ตลาดใต้ดินอันมืดสลัว จ้าวต้าจื่อนั่งหัวเราะอย่างขื่นขมอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวังทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านไปแล้วก็ต้องคอตกลงด้วยความสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าแผงขายของของผู้อื่นมีสินค้าสวยงามมากมาย แม้แต่แผงที่น่าดึงดูดน้อยที่สุดก็ยังมีข้าวของอยู่หลายประเภท แต่เบื้องหน้าของเจ้าอ้วนกลับว่างเปล่า มีเพียงกระดาษแผ่นเดียววางทับด้วยก้อนหิน
เจ้าอ้วนต้องเข้าร่วมการประลองอันยิ่งใหญ่ในไม่ช้าแต่ยังต้องการหาเงินและไม่กล้าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
ก่อนหน้านี้จ้าวต้าจื่อไม่เคยต้องกังวลถึงปัจจัยพื้นฐานแต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ฐานะการเงินของครอบครัวเขาตกต่ำลงและบิดาก็ป่วยหนัก เขาต้องการเงินมากเหลือเกิน ตอนนี้เขาไม่เพียงต้องหาเลี้ยงตัวเองเท่านั้นแต่ยังต้องซื้อของจำเป็นในการฝึกตนพร้อมทั้งคิดหาวิธีช่วยเหลือครอบครัวอีกด้วย
เยี่ยฉวนได้เขียนอะไรบางอย่างที่เจ้าอ้วนไม่เข้าใจลงในกระดาษตรงหน้านี้และบอกว่าเป็นสิ่งมีค่า เขาจึงพยายามขายมันในตลาดมืดแห่งนี้อย่างเต็มที่ เขาไม่มีความสามารถในการปลูกสมุนไพรและไม่สามารถปรุงยาได้ ดังนั้นจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่กระดาษแผ่นนี้
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
เจ้าอ้วนผู้เหนื่อยอ่อนและหิวโซเงยหน้ารีบขึ้นมองอย่างกระตือรือร้นจนหนังตาแทบตึง ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะหนักอึ้งเดินเข้ามาด้วยท่าทีอวดดีและหยิ่งยโส ดูท่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ไม่เคร่งครัดนัก เขาตรงเข้ามาหาเจ้าอ้วนราวกับปูที่ชูก้ามสูงและเดินผ่านไป เจ้าอ้วนคอตกอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่แล้วชายผู้นั้นก็เดินกลับมา “เฮ้ นี่คืออะไร?”
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดก็มีคนสนใจเข้าเสียที เขารีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นและลุกขึ้นยืน คลี่กระดาษออกด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “นายท่าน นี่คือสมบัติอันล้ำค่าและหายากยิ่ง ดูนี่สิ สิ่งนี้…”
เจ้าอ้วนใช้ความกะล่อนเข้าสู้ เขาเองก็ไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนี้คือสิ่งใดจึงได้แต่พูดกว้างๆ เข้าไว้ หวังว่าคนผู้นี้จะเป็นพวกซื่อบื้อในเรื่องเงิน แต่เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธ์ผู้หละหลวมตรงหน้าไม่ใช่คนเช่นนั้น
ชายวัยกลางคนเหลือบดูกระดาษในมือเจ้าอ้วนก่อนจะมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “ไอ้หนู เจ้าเป็นคนสำนักหมอกเมฆาหรือ?”
“ใช่ขอรับ” เจ้าอ้วนตอบด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ อีกฝ่ายจึงถามเช่นนี้
แม้ตลาดมืดจะมีสินค้าแทบทุกชนิดแต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดขายกระดาษแผ่นเดียวมาก่อน ผู้คนส่วนมากจึงทำท่าทีเย้ยหยันใส่ ด้วยเหตุนี้การที่มีผู้สนใจแผงของเจ้าอ้วนจึงทำให้ผู้คนโดยรอบมุงดูด้วยความตื่นเต้น แม้แต่เฒ่าโหวจอมลวงโลกที่สักแต่จะหาเงินยังอดไม่ได้ที่จะผ่านมาดูความชุลมุนนี้
“ไหนดูซิมันคืออะไร? ภาพวาดฝีมือเด็กงั้นหรือ? ฮ่าๆๆ…”
ชายผู้นั้นฉวยกระดาษจากมือของเจ้าอ้วนมาพินิจดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโยนมันทิ้งลงกับพื้นและระเบิดหัวเราะลั่น “น่าขันอะไรเช่นนี้ ของพรรค์นี้ใช้หลอกใครได้ด้วยหรือ แล้วบอกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก ไร้สาระสิ้นดี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสำนักหมอกเมฆาอันยิ่งใหญ่จะมีพวกต้มตุ๋นเช่นนี้อยู่ด้วย ดูท่าสำนักหมอกเมฆาจะถึงคราวจบสิ้นแล้วจริงๆ…”
ชายวัยกลางคนเดินจากไป เหล่าผู้สังเกตการณ์ต่างกระซิบกระซาบและหัวเราะลั่น เจ้าอ้วนอับอายเหลือเกิน อดีตเจ้าสัวที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายบัดนี้แทบไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าทุกข์ทรมานเหลือเกิน!”
เจ้าอ้วนร่ำไห้โดยไม่มีน้ำตาพลางก้มลงเก็บกระดาษขึ้นมาจากพื้น
เยี่ยฉวนแลดูจริงจังยามมอบกระดาษแผ่นนี้แก่เขา แม้เจ้าอ้วนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ได้รับมาแต่เขาก็เชื่อมั่นและมายังตลาดมืดแห่งนี้ด้วยความหวังโดยไม่รู้ตัวว่ามันเป็นเพียงความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ เยี่ยฉวนได้ฝังเขาทั้งเป็นอย่างไร้ความปรานี!
‘ศิษย์พี่ใหญ่คงเห็นว่าข้าเศร้าโศกจึงปลอบโยนด้วยวิธีของเขา ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ!’
เจ้าอ้วนปลอบใจตนเองและคิดหาคำอธิบายได้เพียงอย่างเดียว
ทันใดนั้น รองเท้าบูทหนังกวางคู่ใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าอ้วน กระดาษแผ่นเล็กที่เขากำลังจะหยิบกลับถูกคนตรงหน้าคว้าไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าอ้วยเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าคือชายร่างกำยำล่ำสันสูงเกือบสามเมตรยืนปักหลั่นราวกับภูเขาและแผ่รังสีคุกคามออกมา ท่อนแขนนั้นใหญ่กว่าต้นขาของคนธรรมดาถึงสองเท่า เขาแต่งกายในชุดคลุมสีดำเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงเข้ม บนศีรษะมีหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่ เจ้าอ้วนที่นั่งหมอบอยู่กับพื้นและมองขึ้นไปบังเอิญเห็นก้อนนูนสองก้อนบนศีรษะอีกฝ่ายละม้ายคล้ายเขาวัว
ปีศาจเขาโค้งหรือ?
เจ้าอ้วนสะดุ้ง ทั้งเนื้อตัวอวบอ้วนสั่นสะท้าน
อ่านนิยาย novelza.com
ในดินแดนรกร้าง เหล่าผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็นผู้ฝึกกำลังภายในซึ่งเชี่ยวชาญด้านการฝึกร่างกายและผู้ฝึกวิญญาณซึ่งเชี่ยวชาญด้านการฝึกดวงจิต แต่ในสถานที่ห่างไกลมักมีผู้ฝึกตนลึกลับอีกประเภทนั่นคือผู้ฝึกมาร พวกเขาเชี่ยวชาญด้านการยึดครองปราณ โลหิต และทักษะเฉพาะตนของเหล่าอสุรกาย นอกจากนั้นยังไม่ลังเลที่จะปลูกถ่ายชิ้นส่วนร่างกายของสัตว์อสุรกายมาไว้ในร่างกายของตน บางคราอาจถึงขั้นหลอมรวมสัตว์อสุรกายและเคล็ดวิชาการฝึกตนเข้าด้วยกันและกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งอสุรกาย การฝึกตนของเหล่าผู้ฝึกมารรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่งอีกทั้งยังมีความโหดเหี้ยมอย่างหาที่เปรียบมิได้ สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะร่างกาย และผู้ฝึกมารที่มีเขาบนศีรษะจะถูกขนานนามว่าปีศาจเขาโค้ง
ปีศาจเขาโค้งไม่เป็นที่ต้อนรับในทุกแห่งรวมถึงในสำนักใหญ่ทั้งหลาย แม้ภูมิประเทศของเทือกเขาหมอกเมฆาจะมีความสลับซับซ้อน แต่การมีอยู่ของสำนักหมอกเมฆาแต่โบราณทำให้บรรดาผู้ฝึกมารไม่กล้าเตร็ดเตร่ไปมาอย่างอิสระ การที่จู่ๆ ต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกมารโดยเฉพาะปีศาจเขาโค้งที่ดุร้ายเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนหวาดผวายิ่ง!