บทที่ 69 เจ้าไม่มีฝีมือเพียงนั้น
เยี่ยฉวนและคณะเดินทางมาถึงผาปากอินทรีอย่างราบรื่นในยามพลบค่ำ แต่คนจากสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ได้มาถึงก่อนแล้ว อาณาเขตค่ายของทั้งสองสำนักครอบคลุมบริเวณกว้าง นอกจากศิษย์ชั้นเลิศทั้งเจ็ดที่เข้าร่วมการประลองแล้วยังมีทหารอารักขาและคนรับใช้จำนวนมาก แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังร่วมเดินทางมาด้วย ความอึกทึกครึกโครมที่ได้เห็นนั้นดูอลังการยิ่ง เมื่อเทียบกับทั้งสองสำนักแล้วสำนักหมอกเมฆานั้นดูธรรมดาเสียจนน่าสังเวช ทั้งหมดรวมกันแล้วมีเพียงแปดชีวิตซึ่งไม่ถึงเศษเสี้ยวของจำนวนคนจากอีกสองสำนักด้วยซ้ำ
“หลีกทาง หลีกทางหน่อย…”
ชายร่างกำยำหลายคนตะโกนสุดเสียงขณะแบกหม้อสัมฤทธิ์หนักอึ้งตรงมาทางเยี่ยฉวนและพรรคพวก หม้อขนาดเล็กปักอยู่บนปกเสื้อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นศิษย์สำนักเครื่องนิล กระแสพลังงานแปรปรวนทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์ชั้นเลิศที่แข็งแกร่ง
หม้อสัมฤทธิ์ในมือพวกเขาก็ไม่ธรรมดา มันเป็นสีฟ้าหมดจดทั้งใบราวกับหยกสีฟ้าก้อนใหญ่หนักหลายหมื่นจิน แลดูจะหนักกว่าหม้อสัมฤทธิ์ของปีศาจเฒ่าถงปี่เสียอีก แม้แต่ชายฉกรรจ์แปดคนก็ยังยกได้อย่างยากลำบาก
เยี่ยฉวนส่งสายตาให้คนทั้งกลุ่มขยับไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้พวกเขา
ผาปากอินทรีนั้นสูงชัน ครึ่งล่างมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี บนยอดเขามีลมกรรโชกพัดจนรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูก หากประมาทเพียงนิดอาจถูกลมพัดเสียหลักไปโดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นทางเดินยังแคบเสียจนสองคนเดินเคียงคู่กันได้ลำบาก ด้านหนึ่งของทางเดินเป็นหน้าผาลึกล้ำสุดหยั่งถึง หากร่วงลงไปคงไม่พบแม้แต่ซากกระดูก
“หลีกทาง หลีกทางหน่อย…”
ชายร่างใหญ่ตะโกนเสียงดัง ขณะเดินผ่านเขาเสียหลักล้มมาทางเยี่ยฉวน ร่างของชายผู้นี้บึกบึนราวกับวัวป่า หากชนเข้ากับเยี่ยฉวนคงจะซี่โครงหักมิหนำซ้ำอาจจะร่วงลงหน้าผาอีกด้วย!
เจ้าอ้วน จูซือเจีย และคนอื่นๆ กรีดร้องแต่หัวหน้าชายร่างใหญ่กลับยิ้มเยาะ นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุหากแต่เป็นความตั้งใจ เขาจงใจจะแสดงความแข็งแกร่งให้เยี่ยฉวนได้รับรู้
ด้วยระยะห่างที่น้อยมากจึงเป็นการชนตรงๆ อย่างไร้เล่ห์กล มีผู้ใดไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆายังไม่บรรลุขั้นซิวฉือบ้าง? จะชนให้กระเด็นก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรือ?
แววตาของอี้สั่วทอประกายกล้า มือขวาของเขาขยับไปตามสัญชาตญาณขณะลังเลว่าจะช่วยชายจากสำนักเครื่องนิลผู้นี้ปลิดชีพเยี่ยฉวนดีหรือไม่
“พี่ชาย ระวัง!”
เยี่ยฉวนผู้มีสายตาเฉียบคมยันไหล่แกร่งเอาไว้ได้ทัน เขาหันไปหาอี้สั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยตั้งใจหรือไม่มิอาจทราบ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยละม้ายคล้ายรอยยิ้มก็ไม่เชิง
หัวหน้าชายร่างกำยำอยู่ห่างจากอกของเยี่ยฉวนเพียงกระดาษกั้นแต่มือใหญ่ของเยี่ยฉวนหยุดไหล่กว้างเอาไว้จนไม่อาจขยับรุดหน้าไปได้อีก เยี่ยฉวนออกแรงกดเพียงแผ่วเบาแต่พลังมหาศาลไร้ขอบเขตทำให้ชายผู้นี้โก้งโค้งและคุกเข่าลงโดยไม่ทันตั้งตัว ชายอีกเจ็ดคนจึงเสียการทรงตัวจนหม้อน้ำทองสัมฤทธิ์หนักอึ้งบนบ่าลื่นหลุดไปครูดกับหนังศีรษะของชายผู้เป็นหัวหน้าก่อนจะร่วงหล่นลงไปจากหน้าผาสูงชัน
ทุกคนบนหน้าผาปากอินทรีรวมถึงชายร่างยักษ์ทั้งเจ็ดเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน หน้าผากของชายร่างใหญ่มีเหงื่อผุดพราย ทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง หากเมื่อครู่มีอะไรผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวอาจเป็นพวกเขาที่ร่วงหล่นลงไปกับหม้อสัมฤทธิ์นั่น!
เจ้าอ้วน จูซือเจีย และคนอื่นๆ โล่งใจ ทว่าแววตาของอี้สั่วกลับมืดหม่นลง เขามองดูเยี่ยฉวนและลอบพ่นลมหายใจ
“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่?!”
เยี่ยฉวนถามด้วยท่าทางไร้เดียงสาระคนตกใจกลัว เขาสูดหายใจลึกก่อนจะพูดต่อ “โชคดีที่ทุกคนไม่เป็นไร ข้าตกใจกลัวแทบตาย พวกเราเกือบจะตกหน้าผากันเสียแล้ว”
“เจ้า… นี่เจ้า…”
ชายร่างใหญ่จ้องมองเยี่ยฉวนแต่กลับตอบสนองอย่างเชื่องช้า ขาทั้งสองข้างยังคงสั่นระริก แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเยี่ยฉวนจงใจใช้เล่ห์กลกับเขาแต่ก็ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด ฝ่ามือของเยี่ยฉวนเมื่อครู่นั้นแข็งแกร่งเกินคาด หากเยี่ยฉวนออกแรงผลักเพียงนิดเขาก็คงร่วงลงหน้าผาตายตกไปแล้ว
“เจ้าคิดจะเอาหม้อสัมฤทธิ์ขึ้นมาจากก้นหุบอย่างไร? อยากให้ข้าช่วยหรือไม่? หากต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ต้องลังเล บอกข้ามาได้เลย” เยี่ยฉวนยิ้ม รอยยิ้มนั้นแลดูไม่มีพิษภัยแต่กลับทำให้ชายร่างใหญ่เหงื่อไหลโซมกาย เขาไม่กล้าเอ่ยคำใด ได้แต่ล่าถอยกลับไปที่ค่ายพร้อมเหล่าศิษย์สำนักเครื่องนิลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หงลี่ ศิษย์พี่ใหญ่สำนักเครื่องนิลผู้ยืนไกลออกไปท่ามกลางฝูงชนสีหน้าย่ำแย่กว่าผู้ใด
หม้อสัมฤทธิ์ที่ตกจากหน้าผาไปนั้นเป็นสมบัติสงวนและเป็นสัญลักษณ์ประจำสำนักเครื่องนิลซึ่งถูกขนย้ายมาจากสำนักด้วยความยากลำบากเพื่อประกาศความแข็งแกร่ง ณ บริเวณที่ตั้งค่าย เมื่อหงลี่เห็นเยี่ยฉวนและคณะเดินทางก็ลอบสั่งการให้บรรดาศิษย์ขนหม้อนี้ไปเพื่อกลั่นแกล้งเยี่ยฉวนให้ดูเป็นคนโง่ต่อหน้าศิษย์ทั้งหลาย เขาไม่คาดคิดเลยว่านอกจากแผนการจะไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียหม้อสัมฤทธิ์ไปอีกด้วย
ศิษย์ร่างยักษ์เหล่านั้นรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเขาไม่อาจปิดเรื่องนี้ไว้ได้นานนัก แม้แต่หงลี่เองก็เป็นกังวลจนใบหน้าซีดเผือด เขารู้สึกราวกับเสียภรรยาให้ศัตรูและเสียพลทหารให้ข้าศึก
“คุณชายหง พบกันอีกแล้ว หวังว่าท่านจะสบายดีตั้งแต่เราแยกกันครั้งนั้น”
เยี่ยฉวนเดินตรงไปหาหงลี่ ใบหน้าแย้มยิ้มราวกับได้พบเพื่อนเก่า เขามองไปรอบๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “โอ้ จริงสิ เซียงเนียวภรรยาข้าอยู่ที่ใดหรือ?”
คำพูดของเยี่ยฉวนในตอนแรกนั้นแสนเป็นมิตรแต่ครึ่งหลังนั้นแทบทำให้กระอักเลือด
หงลี่โกรธจัดจนใบหน้าขึ้นสีแดง เขาจ้องมองเยี่ยฉวนพลางขบกรามแน่น ในสำนักเครื่องนิลไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขาแอบชอบพอโท่วป่าเซียงเนียวอยู่ แม้แต่เจ้าสำนักโท่วป่าเซียงก็ยังมีความคิดจะให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนแต่งงานกับเขา แต่เยี่ยฉวนมาตะโกนดังในที่แจ้งเช่นนี้ไม่เป็นการตบหน้าเขาไปหน่อยหรือ?
โท่วป่าเซียงเนียวผู้งามสง่าน่ามองก้าวออกมาจากกระโจมใหม่เอี่ยมและได้ยินคำพูดของเยี่ยฉวนเข้าพอดีจึงรีบกระทืบเท้าถอยกลับไปในกระโจมอีกครั้งด้วยความเขินอาย นางมักจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและแสดงความไม่พอใจเรื่องเยี่ยฉวนให้บิดาฟังอยู่เสมอ พวกเขาจึงมองหานกอินทรียักษ์มาปลอมเป็นโท่วป่าเซียงเนียวเพื่อทำให้สำนักหมอกเมฆาอับอายจนผลออกมาเป็นเช่นนี้ ช่างคิดจะเคลื่อนหินใหญ่แต่กลับสะดุดขาตัวเองโดยแท้
“ไอ้บัดซบ มาสู้กับข้า!” นัยน์ตาของหงลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เขาชักกระบี่ออกมาจากด้านหลังพร้อมจิตสังหารพุ่งสูงเฉียดฟ้า
ยิ่งมีผู้สังเกตการณ์อยู่มากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกอับอายเกินควบคุมมากเท่านั้น เขาอยากหักหน้าผู้อื่นแต่กลับไม่สำเร็จซ้ำยังเป็นฝ่ายขายหน้าเสียเอง แม้ตั้งใจจะสังหารเยี่ยฉวนในการประลองครั้งใหญ่ แต่ดูท่าว่าจะไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
“เจ้าน่ะหรือ? เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก หากคิดจะสู้กับข้าก็จงเอาชนะศิษย์น้องทั้งหลายของข้าในสังเวียนแห่งความเป็นตายให้ได้เสียก่อน ตอนนี้หลีกทางให้ข้าเถิด เพราะข้าต้องตั้งค่ายเสียก่อนจึงจะให้ความบันเทิงกับเซียงเนียวภรรยาข้าในยามค่ำคืนได้”
หงลี่ขบฟันด้วยความโกรธ ทว่าเยี่ยฉวนกลับเพิกเฉยและเดินนำเจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ไปด้านหนึ่งเพื่อจัดแจงค่าย หงลี่โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหลัง เขาอยากจะพุ่งเข้าไปแทงกระบี่ที่หลังของเยี่ยฉวนเสียตอนนี้เลย แต่ท่านผู้อาวุโสแห่งสำนักเครื่องนิลส่งสัญญาณห้ามปรามจึงไม่มีทางเลือกนอกจากระงับความโกรธเอาไว้ก่อน
บรรดาศิษย์จากสามสำนักใหญ่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่จนถึงขั้นสังหารคู่ต่อสู้ได้บนสังเวียนแห่งความเป็นตาย แต่นอกสังเวียนนั้นไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ตัวต่อตัวกันเป็นอันขาด นี่เป็นกฎของการประลองทุกครั้ง
“ไอ้สารเลว พรุ่งนี้ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!” อกของหงลี่สะท้อนขึ้นลงรุนแรงเมื่อพยายามข่มโทสะไว้
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีฝีมือเพียงนั้น”
เยี่ยฉวนหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะตั้งค่ายต่อไปอย่างไม่แยแส ผู้คนพากันส่ายศีรษะเมื่อเห็นว่าระดับขั้นการฝึกตนของเยี่ยฉวนไม่สูงนักแต่กลับแสร้งทำเป็นปรมาจารย์มากฝีมือที่ไม่ลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับหงลี่อย่างไม่ลดละ
หากไม่มีกำลังก็ควรจะเจียมเนื้อเจียมตัวเข้าไว้ แต่เยี่ยฉวนกลับทำตัวโดดเด่นด้วยการยั่วยุศิษย์พี่ใหญ่อย่างหงลี่อย่างไม่ไว้หน้า เขาไม่เกรงกลัวเพราะมีไพ่ตายซ่อนอยู่หรือแค่เพราะเป็นคนโง่กันแน่?
ผู้ชมทั้งหมดเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
หงลี่โกรธเกรี้ยวขึ้นกว่าเดิม นัยน์ตาแดงฉานขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสัตว์อสุรกายคลั่ง
การประลองอันยิ่งใหญ่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ และดูเหมือนไม่อาจจบลงได้โดยไร้ซึ่งความตาย!
ผู้คนครุ่นคิดในใจ ตอนนี้ทั้งจ้าวต้าจื่อ จูซือเจีย และคนอื่นๆ ต่างกังวลเป็นอันมาก แต่แววตาของเยี่ยฉวนกลับเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง เขาทอดสายตามองศิษย์ชั้นนอกซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการอุ่นสุราก่อนที่รอยยิ้มชั่วร้ายจะผุดขึ้นบนใบหน้า…