บทที่ 73 เสียงของเด็กสาวชั้นเลิศ
ในการประลองครั้งแรก สำนักเครื่องนิลได้ชัยชนะไปอย่างขาดลอย
ทว่าสีหน้าของฝั่งผู้แพ้กลับเฉยเมยและฝั่งผู้ชนะก็ไม่ได้มีความสุขเช่นกัน หงลี่จอมเผด็จการผู้ตะโกนสั่งให้ฆ่าทันทีที่เข้าสู่สังเวียนนั้นรู้สึกไม่ดีราวกับกินซากแมลงวันเข้าไป ไม่มีที่ใดให้เขาแสดงพลังการฝึกตนแล้วในตอนนี้
หงลี่จ้องมองเยี่ยฉวนด้วยแววตาดุดัน คำสั่งของผู้ตัดสินทำให้เขาต้องจำใจลงจากสังเวียนแห่งความเป็นตายด้วยความขมขื่น
การประลองครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น!
ผลการจับฉลากครั้งนี้เป็นสำนักเครื่องนิลและสำนักหมอกเมฆาอีกครั้ง ราวกับโชคชะตากำหนดไว้แล้วว่าสองสำนักใหญ่ต้องปะทะติดต่อกันเช่นนี้
หงลี่หัวเราะลั่นอยู่นอกสังเวียนพลางตะโกนว่าพระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาเอง บรรดาศิษย์สำนักหมอกเมฆาต่างเป็นกังวล
ในการต่อสู้ครั้งแรก เยี่ยฉวนบังคับให้เจ้าอ้วนที่โดนวางยาจนไม่อาจยืนให้มั่นได้เข้าประลองราวกับต้องการแลกการสูญเสียเพียงหนึ่งเพื่อชัยชนะถึงสอง และยุติการประลองกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเครื่องนิลไปง่ายๆ แต่รอบต่อไปเล่า? เขาจะรับมือการประลองรอบที่สองนี้อย่างไร?
กลยุทธ์ที่คาดไม่ถึงของเยี่ยฉวนทำให้การประลองครั้งยิ่งใหญ่ที่ไร้ความระทึกในตอนแรกกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
ผู้คนนอกสังเวียนแห่งความเป็นตายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความคาดหวัง
“รอบนี้ข้าจะสู้เอง!”
อี้สั่วลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้เยี่ยฉวนเห็นชอบ เขากระโดดขึ้นไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตายด้วยท่าทีเหยียดหยามฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ เขาไม่ใส่ใจชื่อเสียงของสำนักจนสามารถวางยาเยี่ยฉวนและผู้อื่นให้อ่อนแอลงเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะได้เป็นจุดสนใจเช่นกัน เขาจะทำให้ผู้คนใต้หล้ารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตนในการประลองครั้งนี้!
ภาพที่ทุกคนไม่คาดคิดพลันปรากฏขึ้นในการแข่งขันรอบที่สอง
ศิษย์สำนักหมอกเมฆากระโดดขึ้นไปบนสังเวียนก่อนศิษย์สำนักเครื่องนิลผู้จองหองเสียอีก! ศิษย์สำนักเครื่องนิลผู้กำลังเตรียมพร้อมตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก
“ฮ่าๆๆ มาเถิด! ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นพลังของอี้สั่วผู้นี้และมรดกที่แท้จริงของสำนักหมอกเมฆา! ฮ่าๆๆ…”
อี้สั่วพึงพอใจในตนเองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเมื่อเห็นสายตาประหลาดใจจากหมู่ผู้ชม เขามีความสุขกับการชื่นชมยินดีและยกย่องจากสาธารณชนประหนึ่งแม่ทัพไร้พ่ายผู้กลับมาอย่างมีชัย ทว่าขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศอันหาที่เปรียบมิได้นี้ เสียงหัวเราะของเขากลับบางลงจนกลายเป็นเสียงของสตรี! เสียงหัวเราะลั่นดังก้องเยี่ยงชายชาตรีพลันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแหลมสูงของหญิงสาว!
ผู้คนตกตะลึงราวกับเป็นใบ้อีกครั้ง เสียงหัวเราะของอี้สั่วบนสังเวียนก็หยุดชะงักลงเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกับเสียงของข้า?
นี่เป็นภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ? หรือข้าหัวเราะดังเสียจนความตื่นเต้นที่มากล้นทำลายเส้นเสียงของตัวเองเสียแล้ว?
อี้สั่วรู้สึกร้อนรน เขากุมคอและไอสองสามครั้งก่อนจะพยายามหัวเราะ แต่เสียงสตรีแหลมสูงก็ดังแว่วเข้าหูฝูงชนอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นใส ไพเราะ และอ่อนหวานเสียจนเหล่าศิษย์หญิงต้องหน้าขึ้นสีด้วยความอับอายเมื่อได้ฟัง
หากศิษย์หญิงมีน้ำเสียงเช่นนี้คงเป็นที่เคลิบเคลิ้มและสามารถโปรยเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลจนขาดใจตายได้ แต่ชายหนุ่มผู้มีน้ำเสียงเช่นนี้นั้นไม่น่าพิศวาสแต่อย่างใด หากแต่น่ากลัวและน่ากระอักกระอ่วนเกินที่ผู้ใดจะรับได้!
นอกสังเวียนแห่งความเป็นตาย ศิษย์สำนักเครื่องนิล สำนักหมอกเมฆา และสำนักเบญจลักษณ์มีท่าทีเหมือนกันเป็นครั้งแรก พวกเขาพร้อมใจกันปิดหูและมองไปที่เยี่ยฉวนด้วยความรู้สึกคลื่นไส้
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? เป็นไปไม่ได้! นี่มันอะไรกัน?”
อี้สั่วแทบสิ้นสติและร้องออกมาอย่างร้อนรน ความหยิ่งผยองและพึงพอใจในตนเองยามขึ้นสังเวียนมลายหายไปหมดสิ้น
เดิมทีเขาต้องการใช้โอกาสนี้โอ้อวดตนและประกาศให้โลกรู้ว่าอี้สั่วนั้นดีเลิศที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักหมอกเมฆาเพื่อก้าวขึ้นไปอยู่เหนือเยี่ยฉวน แต่ยามนี้กลับต้องขายหน้าอย่างรุนแรงจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เขาพิเคราะห์ดูตนเองตั้งแต่หัวจดเท้าก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงวิ่งกุมคอหางจุกก้นออกจากสังเวียนด้วยอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้าผู้ใด
“เสียงของเด็กสาวชั้นเลิศ เกินต้านจริงๆ”
เยี่ยฉวนมองตามหลังอี้สั่วไปพลางยกยิ้มชั่วร้าย
คิดจะเล่นสกปรกกับข้างั้นหรือ?
เร็วไปหมื่นปีนะเด็กน้อย!
เยี่ยฉวนรู้สึกปลอดโปร่ง รูขุมขนทั้งหมดเปิดกว้าง แม้จะต้องเริ่มฝึกตนใหม่ทั้งหมดหลังการฟื้นคืนชีพแต่ความรู้สึกที่ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายนั้นก็แสนพิเศษเมื่อเทียบกับยามที่เขาซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ได้ด้วยฝ่ามือ
จ้าวต้าจื่อหัวเราะคิกคักหลังสิ้นเสียงหัวเราะของเยี่ยฉวน เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและงุนงงเช่นกัน แต่การได้เห็นอี้สั่วอับอายทำให้เขาสุขใจยิ่ง เป็นผลกรรมตามสนองเจ้าที่บังอาจวางยาในสุรา!
จูซือเจียมองตามแผ่นหลังหดหู่ของอี้สั่วและมองกลับมาที่รอยยิ้มชั่วร้ายของเยี่ยฉวนจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที นางก้าวเข้าไปกระซิบถาม “เฮ้ นี่ฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่? เจ้าลงมือตั้งแต่เมื่อใด?”
“เฮ้อะไรของเจ้า อย่าพูดจาล้อเล่น เรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจหรือไม่? ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดก้นเจ้าซะ”
เยี่ยฉวนยิ้มก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์น้องหญิงเจียเจีย ห้ามเอ่ยเช่นนี้อีกเป็นอันขาด ข้าดูเป็นคนอย่างนั้นหรือ? มันไม่ใช่หน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้า ข้าทั้งซื่อสัตย์และเถรตรง เปิดเผยและจริงใจ มีคุณสมบัติของวีรบุรุษโดยแท้ จะทำเรื่องมิชอบกับสำนักได้อย่างไร?”
เยี่ยฉวนย่อมไม่ทำเรื่องไม่ควรต่อสำนัก ทว่าการลงโทษอี้สั่วไม่เพียงไม่เป็นภัยแต่ยังเอื้อประโยชน์ให้สำนักอย่างมหาศาล เขาจึงลงมือโดยไร้ความปรานีใดๆ นอกจากนั้นการลงมือโดยไม่มีผู้รู้เห็นทำให้เขารู้สึกดี แม้แต่อี้สั่วก็ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกลงโทษ
เขาวางอุบายลวงคนมานักต่อนัก แต่การวางแผนลวงโดยไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดนั้นทำให้เขารู้สึกดีเหลือเชื่อ นี่สิคือยอดฝีมือ!
สำหรับเยี่ยฉวนผู้เคยซ่อนเร้นสวรรค์ได้ด้วยมือนั้น เรื่องเล็กเช่นนี้ง่ายดายราวกับปอกกล้วย
“เหอะ เปิดเผยและจริงใจ? หากเจ้าไม่ใช่ตัวการแล้วจะเป็นใครไปได้?”
จูซือเจียกลอกตา นางไม่เชื่อคำพูดของเยี่ยฉวนแม้แต่นิดเดียวแต่ก็รู้สึกโล่งใจ เพราะการที่เยี่ยฉวนลอบทำสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้หลงเชื่ออี้สั่วอย่างโง่เขลา
“การประลองครั้งที่สอง สำนักหมอกเมฆาละทิ้งการประลอง สำนักเครื่องนิล…”
ผู้ตัดสินจากสำนักเครื่องนิลรีบลุกขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันจะประกาศให้สำนักเครื่องนิลเป็นผู้ชนะ ผู้พิทักษ์หยางที่นั่งอยู่บนสังเวียนในฐานะตัวแทนสำนักหมอกเมฆาก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวห้าม “ช้าก่อน คนจากสำนักเครื่องนิลของเจ้ายังไม่ทันขึ้นสังเวียน ตามกฎแล้วถือว่าเป็นโมฆะ การประลองรอบนี้ยังไม่เริ่มจึงอนุญาตให้แข่งต่อได้”
ผู้พิทักษ์หยางผู้เดิมทีไม่มีใจจะทำงานบัดนี้เกิดความหวังริบหรี่ในตัวเยี่ยฉวนขึ้นมา เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ผู้ตัดสินจากสำนักเครื่องนิลมองผู้พิทักษ์หยางด้วยสีหน้าเย็นชา แต่ยังไม่ทันจะโต้แย้งผู้ตัดสินจากสำนักเบญจลักษณ์ก็ขัดขึ้น “ถูกต้อง การประลองยังไม่ได้เริ่ม ฉะนั้นแข่งต่อได้”
ทั้งสามสำนักใหญ่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยทว่าแอบวางอุบายกันอย่างลับๆ สำนักเบญจลักษณ์ใคร่จะเฝ้าดูสำนักอื่นต่อสู้อย่างสงบและค่อยฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวรางวัลเมื่อทั้งสองฝ่ายเหนื่อยล้า ฉะนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้ทั้งสองคว้าชัยชนะไปโดยง่าย มติเป็นเอกฉันท์ด้วยเสียงจากผู้ตัดสินเป็นสองต่อหนึ่งให้การประลองดำเนินต่อไป ผู้ตัดสินจากสำนักเครื่องนิลจึงไม่อาจคัดค้าน
นอกสังเวียน โท่วป่าเซียงกำลังอารมณ์ไม่ดีและสิ่งนี้อาจส่งผลร้ายแรงภายหลัง
เขาเรียกเด็กหนุ่มชุดคลุมดำมาสั่งการบางสิ่งที่ข้างหูอย่างเกรี้ยวกราด โท่วป่าเซียงต้องการจะส่งปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งของสำนักอีกคนเข้าประลอง
“ท่านเจ้าสำนัก หากเจ้าเด็กเยี่ยฉวนเข้าสู่สังเวียน แม้ต้องเสี่ยงชีวิตเพียงใดข้าก็จะฆ่าเขาให้ได้! แต่ข้าควรทำอย่างไรหากฝั่งนั้นส่งพวกอ่อนแอมาและคิดจะถอนตัวเหมือนรอบที่แล้ว?” เด็กหนุ่มชุดดำขอคำแนะนำ ในบรรดาศิษย์สำนักเครื่องนิลรุ่นเยาว์เขาเป็นรองแค่ศิษย์พี่ใหญ่หงลี่เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องพละกำลังแล้วเขาไม่เป็นสองรองใครแน่นอน บนบ่าของเขาแบกมีหม้อสัมฤทธิ์หนักหนึ่งหมื่นจิน เด็กหนุ่มผู้นี้เก่งกาจทั้งด้านพละกำลัง การต่อสู้ระยะประชิด และการสังหาร!
“ฆ่าให้หมด! ผู้ใดขึ้นมาบนสังเวียนก็จงฆ่าให้หมด! อย่าเปิดโอกาสให้ฝั่งนั้นถอนตัวเอง เข้าใจหรือไม่?” โท่วป่าเซียงขบกรามแน่นพลางออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยม
เขาอับอายกับการถูกเรียกว่าพ่อตาในที่สาธารณะเสมอและไม่มีผู้ใดเข้าใจความรู้สึกนี้
ณ เวลานี้ โท่วป่าเซียงกำลังหงุดหงิดยิ่ง โท่วป่าเซียงเนียวไม่ยอมยกโทษให้เขาและโอดครวญทั้งวัน มิหนำซ้ำตัวเขาเองก็ควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาไม่เคยคิดว่าความอัปยศอดสูครั้งนั้นจะไม่หายไปซ้ำยังทิ้งผลลัพธ์เอาไว้เช่นนี้ การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการกำจัดเยี่ยฉวนโดยตรง และการประลองครั้งยิ่งใหญ่นี้ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดี!
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก วางใจเถิด ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
เด็กหนุ่มชุดดำโค้งคำนับก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนสังเวียนพร้อมหม้อสัมฤทธิ์หนักอึ้งบนบ่า ทั้งสังเวียนแห่งความเป็นตายสั่นสะเทือนเมื่อเขาย่ำลงและทิ้งรอยเท้าลึกสองรอยเอาไว้ หม้อมหึมาและกำลังมหาศาลทำให้ผู้คนตระหนกตกใจ คนจากสำนักเครื่องนิลส่งเสียงกู่ร้องกึกก้อง จูซือเจียผู้เพิ่งได้ผ่อนคลายกลับเคร่งเครียดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือของนางเหงื่อออกชุ่มเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย