บทที่ 74 ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?
แม้บรรลุขั้นการฝึกตนในระดับเดียวกัน หากเคล็ดลับที่ใช้ในการฝึกฝนแตกต่าง…หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบเอื้ออำนวยไม่เหมือนกัน ความแข็งแกร่งอาจแตกต่างตามไปด้วย
จูซือเจียเป็นศิษย์ชั้นเลิศผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเมฆาอินทนิล ทั้งทักษะพลังยุทธ์ของนางก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดดำผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อสัมผัสถึงความพลุ่งพล่านของพลังปราณในร่างของอีกฝ่าย และมองเห็นหม้อสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่เขาแบกไว้บนบ่า ใบหน้าหมดจดของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเพราะรู้ว่าตนไม่อาจต่อสู้กับเขาได้
แม้ศิษย์พี่ใหญ่หงลี่แห่งสำนักเครื่องนิลจะต้องยุติการประลอง ทว่าไม่นานพวกเขากลับส่งศิษย์ยอดฝีมือที่มีความสามารถสูสีอีกคนมาท้าประลอง เห็นได้ชัดว่าภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักเครื่องนิลได้บ่มเพาะศิษย์ชั้นเลิศผู้เก่งกาจเอาไว้มากมาย
หากนางมีเวลาพักผ่อนเพียงพอและทำการบ่มเพาะพลังยุทธ์อย่างเหมาะสมจนถึงระดับสูงสุด นางอาจมีหนทางเอาชนะอีกฝ่ายก็เป็นได้! ทว่าเมื่อคืนวานกลับ…
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธระคนอับอายขณะจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวน!
ในบรรดาศิษย์ทั้งแปดคนที่เป็นตัวแทนของสำนักหมอกเมฆาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ มีเพียงเยี่ยฉวนคนเดียวที่ไม่วิ่งเข้าออกที่พำนักไปปลดทุกข์ เห็นได้ชัดเจนว่าเขารู้อยู่แล้ว…ว่าในสุรานั้นมีสิ่งผิดปกติเจือปนอยู่ แต่ที่น่าขุ่นเคืองยิ่งกว่าคือการที่เขาลอยหน้าลอยตาทั้งยังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนรวมถึงสาววัยแรกรุ่นเช่นนางต้องรับสภาพและวิ่งไปปลดทุกข์ตลอดทั้งคืนจนไม่ได้พักผ่อน เป็นเช่นนี้แล้วจะห้ามไม่ให้นางเกลียดชังเขาได้อย่างไร?!
“ศิษย์พี่ใหญ่…รอบนี้ให้ข้าไปเถิด”
หนานเทียนโตวก้าวเท้าไปด้านหน้าพลางเสนอตนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึก
ในสถานการณ์ที่เคร่งเครียดเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนมีทักษะการฝึกตนต่ำเกินไป ส่วนจูซือเจียก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง…ถึงเวลาแล้วที่เขาจะอาสาเป็นผู้ประลองกับฝ่ายศัตรู!
ค่ำคืนที่ผ่านมาเขาได้รับผลกระทบจากยาถ่ายในสุรานั้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาต้องวิ่งไปปลดทุกข์อยู่บ่อยครั้งจนลืมนับเวลา ยามนี้ร่างกายของเขาก็อ่อนเพลียอย่างหนักและรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อต่อสู้ผู้แข็งแกร่ง เขาไม่เคยรู้สึกหวาดหวั่นใดๆ กระบี่นิลสลักคู่กายที่เพียรใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์พลันสั่นไหวแม้อยู่ในฝัก กระบี่ที่จู่โจมได้อย่างรวดเร็ว…การประจันหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ สองสิ่งนี้ต่างหากคือคุณสมบัติเฉพาะตัวของเขาอย่างแท้จริง!
“ยังหรอก เทียนโตว…ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะออกโรง”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามปรามก่อนใช้สัญชาตญาณวิเคราะห์ความสามารถโดยการพินิจใบหน้าเรียงคน
จ้าวต้าจื่อหดคอกลับทันที ก่อนหน้านี้เขารวบรวมความกล้าเอาศีรษะตนเป็นประกันในการเข้าสู่สังเวียนประลองครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่กลับเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง! หากเยี่ยฉวนเลือกเขาให้เข้าไปประมือกับอีกฝ่ายอีกมีหวังเขาต้องตายก่อนเป็นแน่!
“เจ้าอ้วน…กลัวรึ?!” เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปาก
จ้าวต้าจื่อที่เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกกลัวจนเหงื่อตกด้วยความลนลาน “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า…”
“เจ้านี่ช่างไม่มีความกล้าเอาเสียเลย! มิน่าเล่า…ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าจึงเกี้ยวพาราสีศิษย์น้องหญิงเพียงคนเดียวไม่สำเร็จเสียที”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะด้วยความรู้สึกเกลียดโลหะที่ไม่สามารถขัดเกลาจนเป็นเหล็กกล้า จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายโดยหันไปหาศิษย์ชั้นนอกผู้หนึ่ง “เจ้าชื่ออู่หย่งใช่หรือไม่?! การประลองในครั้งนี้ให้เจ้าได้แสดงความแข็งแกร่งเสียบ้างเป็นอย่างไร?!”
“เอ่อ…ศิษย์พี่ใหญ่ ขะ-ข้าเกรงว่า ข้าคงไม่มีความสามารถพอ นะ-นี่…”
ศิษย์ชั้นนอกนาม อู่หย่ง รู้สึกตกตะลึงยิ่ง! จากนั้นสีหน้าของเขาพลันแปรเป็นขมขื่น
เขาเข้ารับการฝึกตนในสำนักหมอกเมฆาเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือน แม้มีสถานะเป็นศิษย์ชั้นนอกของสำนัก ทว่าสภาพการเป็นอยู่ที่แท้จริงคือเป็นคนงานระดับต่ำสุด เขาต้องจัดการงานสกปรกและงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ที่บรรลุในระดับที่สูงกว่าอย่างเหน็ดเหนื่อยเป็นกิจวัตร การถูกศิษย์พี่ใหญ่เลือกให้เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ถือเป็นหลุมพรางร้ายกาจอีกหนึ่งสิ่งในชีวิต แม้แต่ศิษย์ชั้นนอกที่มีสถานะเช่นเดียวกันกับเขายังไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จักมักคุ้น แล้วเยี่ยฉวนรู้จักชื่อแซ่ของเขาได้อย่างไรกัน?!
ตอนนี้เขาบรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่สาม หากเขาขึ้นไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตายเพื่อเป็นคู่ประลองกับชายหนุ่มชุดดำศิษย์แห่งสำนักเครื่องนิลผู้นั้น เกรงว่าเขาจะถูกทุบด้วยหม้อสัมฤทธิ์ใบนั้นจนร่างแหลกละเอียดเป็นเนื้อสับ ด้วยทักษะที่แตกต่างกันถึงเพียงนี้…แล้วเขาจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างไร?!
ร่างกายอู่หย่งสั่นเทาด้วยหวาดกลัวต่อชะตากรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้ไม่กล้าตอบรับคำสั่งของเยี่ยฉวนในทันที
เยี่ยฉวนเห็นเช่นนั้นจึงเผยรอยยิ้มกว้างพลางกวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ “มานี่ซิ ศิษย์พี่ใหญ่จะชี้แนะเจ้าเองว่าควรทำอย่างไร หากเจ้าคิดว่าทำไม่ได้…ข้าจะทำให้เจ้าเชื่อมั่นว่าทำได้ หากเจ้าคิดว่าทำได้…ข้าจะยิ่งสนับสนุนเจ้า! ดังนั้นอย่าได้กังวลไป”
‘ท่านจะชี้แนะกลอุบายใดให้เขาหรือศิษย์พี่ใหญ่?’
จ้าวต้าจื่อนึกคิดด้วยความใคร่รู้ จูซือเจียและศิษย์คนอื่นต่างเกิดความสงสัยเช่นเดียวกัน อู่หย่งเดินไปหาเยี่ยฉวนด้วยสีหน้ากึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลงใจ ทว่าหลังจากได้ยินข้อชี้แนะจากอีกฝ่ายใบหน้าของเขากลับสดใสขึ้นมาก หลังจากนั้นเขาจึงรวบรวมความกล้าก่อนเดินขึ้นไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตายท่ามกลางสายตาของฝูงชนหลายพันคน!
ฉากที่พบเห็นได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์การประลองบนสังเวียนแห่งความเป็นตายปรากฏอยู่ตรงหน้า!
การประลองครั้งใหญ่ระหว่างสามสำนักที่ถูกจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบสามปี ล้วนปรากฏภาพศิษย์ที่มีระดับขั้นการฝึกตนต่ำต้อยทว่าใฝ่สูงคิดอยากขึ้นไปประลองบ้าง ราวลูกนกที่ต้องการบินสูงทว่าปีกยังไม่แข็งแรงพอ ทุกๆ ครั้งพวกเขาเกิดความลังเลจนจบลงด้วยการหยุดยืนเพียงขั้นบันไดก่อนขึ้นสังเวียนเท่านั้น การที่ผู้ฝึกตนขั้นต่ำกว่าซิวฉือขึ้นไปยืนบนสังเวียนความเป็นตายเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“เป็นไปไม่ได้! คนผู้นั้นบรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่สาม เขาจะเอาทักษะจากที่ใดมาต่อสู้?!”
“มาเถิด ชักสนุกเสียแล้วซี…พวกเขามาเพื่อรับความพ่ายแพ้โดยเฉพาะสินะ!”
“ฆ่ามัน! ทุบมันให้แหลกในครั้งเดียว!”
บรรดาผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ก่นด่าสาปแช่ง บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม บางรายไม่ปริปากคำใดทว่ารอคอยการประลองอย่างจดจ่อ…
ชายหนุ่มชุดดำยกหม้อสัมฤทธิ์ขึ้นสูงเหนือศีรษะพร้อมพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเดือดดาลยิ่ง! เขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของศิษย์พี่ใหญ่หงลี่เมื่อครู่ จึงไม่แสดงกระบวนท่าหลายขั้นตอนให้เสียเวลา แต่กลับพุ่งจู่โจมโดยตรงเพื่อหมายเอาชีวิต ถึงกระนั้นก็ยังสายเกินไป เพราะขณะที่ก้าวเท้าขึ้นไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตาย “เหวอ!” เสียงร้องของชายชุดดำดังขึ้น เนื่องจากมีคลื่นระเบิดรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั่วจนเขาทรงตัวไม่อยู่และกระเด็นกลิ้งตกจากสังเวียน! เขาไม่ทันใช้หม้อใบเขื่องทุบตีอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!
แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวมาจากฝูงชนที่รับชมอยู่นอกสังเวียนแห่งความเป็นตายที่ใช้เป็นลานประลอง บรรดาศิษย์ของสำนักเครื่องนิลต่างโห่ร้องเสียงดังสนั่นพลางปรบมืออย่างกึกก้องอย่างชื่นชมในความกล้าหาญของเขา
ทว่าดวงตาของเขากลับหม่นแสงไร้ซึ่งความปีติยินดี…
ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?
แม้เด็กหนุ่มชุดดำ หลี่หยาง จะชนะการประลองครั้งนี้ แต่จิตใจของเขากลับหดหู่และยุ่งเหยิง ทั้งยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง! เขาได้รับชัยชนะนี้มาโดยที่เขาไม่ได้แสดงทักษะใดๆ…ไม่ทันได้โจมตีฝ่ายศัตรูด้วยซ้ำ! เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะกล้าสู้หน้าท่านเจ้าสำนักโท่วป่าเซียงได้อย่างไร?!
ภายในใจของเขากระอักเลือด ยามนี้เขาเข้าใจศิษย์พี่ใหญ่หงลี่แล้วว่ารู้สึกเช่นไรเมื่อชัยชนะที่ได้รับช่างว่างเปล่า เขาหันไปมองเยี่ยฉวนที่ยกยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นจึงจำใจออกจากพื้นที่การประลองด้วยอารมณ์หงุดหงิดเช่นนั้น
“ไอ้เด็กแซ่เยี่ยนั่นช่างร้ายกาจนัก!”
โท่วป่าเซียงผู้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนตะโกนสาปแช่งเสียงดังโดยไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ของตน
ทั้งหงลี่และหลี่หยางล้วนเป็นศิษย์ชั้นเลิศผู้มีทักษะวิทยายุทธที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แห่งสำนักเครื่องนิล เขาตั้งใจวางตัวคนทั้งสองไว้ในช่วงต้นการประลองเพื่อโจมตีตัวแทนจากอีกสองสำนักโดยไม่ออมมือให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ…ราวสุมไฟเผาให้มอดไหม้เป็นจุณ! ไม่คาดคิดว่าศิษย์ยอดฝีมือของเขาทั้งสองกลับไม่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้แม้ปลายกระบี่เฉือน! เยี่ยฉวนวางแผนส่งศิษย์ที่มีทักษะอ่อนแอมาเป็นคู่ประลองและใช้วิธีหลีกหนีแทนการพุ่งเข้าใส่ ความแยบยลแกมโกงนั้นทำให้เขาได้แต่ขบกรามแน่นด้วยความโกรธายิ่ง!
“ท่านพ่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะทำอย่างไรดี?” ดวงตาสดใสราวฤดูใบไม้ผลิของโท่วป่าเซียงเนียววูบไหวขณะเหม่อมองเยี่ยฉวนจากระยะไกล บัดนี้นางตระหนักแล้วว่าความสามารถด้านการวางแผนของเขานั้นไม่ธรรมดา!
ครั้งก่อนนางรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่เยี่ยฉวนรู้ทันบิดาของนางและเปิดโปงจนแผนการทั้งหมดล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดี คนผู้นี้แม้บรรลุขั้นการฝึกตนไม่สูงส่งทว่าสติปัญญากลับเฉียบแหลมนัก! ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆาร้ายกาจเสียจริง!
“ฮี่ม! ยอมไม่ได้! สำนักของเรายังมียอดฝีมืออีกหลายราย ไอ้เด็กเหลือขอนั่นไม่คณามือข้าหรอก…มันจะเก่งสักเพียงใดเชียว! ข้าจะคอยดูว่าสำนักหมอกเมฆามีขยะไร้ค่ามากกว่านี้อีกหรือไม่ อย่างไรผู้ที่พ่ายแพ้และมีอันดับรั้งท้ายก็ต้องถูกตัดแขนหนึ่งข้าง!”
โท่วป่าเซียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นแปรเป็นสีแดงก่ำราวอสุรกายปีศาจ!
ต่อให้เยี่ยฉวนมีแผนการแยบยลเพียงใด เขาก็มั่นใจว่าศิษย์ยอดฝีมือของเขาสามารถบดขยี้แผนนั้นได้อย่างแน่นอน!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าการประลองทั้งสองครั้งเมื่อครู่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสำนักหมอกเมฆาของเราเท่านั้น วันนี้เรายังพอรับมือได้ แต่วันพรุ่งนี้จะยังง่ายเช่นนี้อยู่หรือ?”
ขณะที่โท่วป่าเซียงยังขบกรามแน่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด จูซือเจียเอ่ยถามเยี่ยฉวนด้วยความหนักใจ
แม้กลยุทธ์ของเขาจะประสบความสำเร็จแต่ใช่ว่าเขาจะใช้วิธีเช่นนี้กับการประลองในคราวต่อๆ ไปได้ พวกเขาไม่อาจอ่อนข้อให้ฝ่ายศัตรูจนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เช่นนั้นสำนักหมอกเมฆาจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับรั้งท้ายจนเยี่ยฉวนถูกตัดแขนหนึ่งข้างทิ้ง นับเป็นการเดิมพันที่โหดร้ายยิ่ง! ทว่ายามนี้จะถอยกลับก็คงไม่ทันเสียแล้ว…
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้เถิด เรามาช่วยกันคิดเรื่องค่ำคืนนี้ดีกว่า ศิษย์น้องเจียเจีย…เจ้าวางแผนไว้บ้างหรือไม่ว่าเราสองคนจะใช้เวลาร่วมกันจนผ่านพ้นยามราตรียาวนานนี้อย่างไร?” เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจับจ้องเรือนร่างของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนใช้สายตาโลมเลียมองบั้นท้ายกลมกลึงคู่นั้น
“ไอ้…ไอ้บ้า!”
จูซือเจียสบถพร้อมหมุนกายเดินจากไปด้วยความโกรธเคืองยิ่ง! ความเป็นห่วงเป็นใยพลันมลายไปสิ้น นางไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าสำนักหมอกเมฆาจะชนะหรือพ่ายแพ้ เพราะต่อให้ผลการประลองอยู่ในอันดับรั้งท้ายผู้ที่ถูกลงโทษโดยการตัดแขนออกหนึ่งข้างก็เป็นเขาต่างหาก…ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยซ้ำ! แล้วเหตุใดจะต้องเป็นกังวลแทนเขาด้วยเล่า?! ทว่าแม้ขุ่นเคืองเขาเพียงใด จิตใจนางก็ยังไม่คลายความวิตกทุกครั้งที่นึกถึงการประลองในวันรุ่งขึ้น…