บทที่ 75 จิ้งจอกสาวผู้ตราตรึง
ในการประลองรอบที่สาม ถึงคราวของสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ในที่สุด
หากสำนักเครื่องนิลเป็นพยัคฆ์ร้าย สำนักเบญจลักษณ์ก็เปรียบเสมือนหมาป่าเกรี้ยวกราด ความแข็งแกร่งของทั้งสองไม่ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย ทั้งสองสำนักกำเนิดขึ้นภายหลังแต่กลับก้าวหน้ากว่าสำนักที่เกิดขึ้นก่อนอย่างสำนักหมอกเมฆา บัดนี้ ณ สังเวียนแห่งความเป็นตาย พวกเขากำลังจะปะทะกันอย่างดุเดือดและบ้าคลั่ง
ผู้เข้าร่วมการประลองจากสำนักเครื่องนิลในครั้งนี้คือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่พร้อมกระบี่หนักอึ้ง ส่วนผู้ประลองจากสำนักเบญจลักษณ์เป็นเด็กสาวร่างเล็ก บอบบาง และงดงาม ท่อนบนของนางสวมชุดออกรบรัดรูปและท่อนล่างสวมกระโปรงหนังสั้น โดยรวมแล้วดึงดูดสายตาผู้คนยิ่ง เสียงผิวปากดังขึ้นจากทุกทิศทาง นางผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หลิวหง บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสำนักเบญจลักษณ์
หลังจากยืนประจำที่บนเวที ทั้งสองก็เปิดฉากโจมตีดุดันบนสังเวียนแห่งความเป็นตาย!
ยอดฝีมือจากสำนักเครื่องนิลจู่โจมพลิ้วไหวราวกับสายลม ทุกการโจมตีเปี่ยมไปด้วยความรุนแรง เขาไม่คิดที่จะออมมือให้เพศที่บอบบางกว่าเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาเย็นชาราวกับเครื่องจักรสังหารที่ลื่นไหลดุจสายน้ำ ชายผู้นี้อยุ่ในแนวรุกและหลิวหงกำลังตั้งรับ แม้จะดูเหมือนถูกล้อมด้วยภยันตรายแต่นางก็เปิดฉากโต้ตอบอย่างรวดเร็วเมื่อมีโอกาส ริบบิ้นยาวที่เป็นอาวุธของนางถือเป็นของหายาก บางคราก็พันรอบกระบี่เล่มใหญ่ของศิษย์สำนักเครื่องนิลราวกับเชือกและบางคราก็พุ่งตรงไปที่หน้าอกของศัตรูราวกับอสรพิษ
หลิวหงที่แต่งตัวเปิดเผยนั้นดึงดูดสายตาฝูงชนตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวขึ้นมาบนสังเวียน ผู้คนจ้องมองหน้าอกและบั้นท้ายตึงแน่นด้วยสายตาโลมเลียซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่นานก็ถูกการต่อสู้ระยะประชิดอันดุเดือดดึงความสนใจไปรวมถึงเยี่ยฉวนด้วย เขามองดูหลิวหงด้วยความประหลาดใจและไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่เคยพบในตลาดมืดจะมากฝีมือถึงเพียงนี้
“ผู้หญิงจากสำนักเบญจลักษณ์งามนักเลยหรืออย่างไร?!”
จูซือเจียรู้สึกโกรธโดยไร้เหตุผลเมื่อเห็นเยี่ยฉวนจ้องหลิวหงบนสังเวียนอย่างไม่ละสายตา ดั่งคำโบราณกล่าวไม่มีผิดว่าชายทุกคนนั้นเหมือนจิ้งจอกดูท่าจะจริง เยี่ยฉวนเพียงแค่จ้องมองแต่ดวงตาเจ้าอ้วนถึงกับเป็นประกาย สายตามากตัณหามองตามบั้นท้ายของหลิวหงจนน้ำลายไหล
“นางดูดี รูปร่างก็ไม่เลวร้าย แต่รสชาติ… คงจะเทียบกับน้องหญิงเจียเจียของข้าไม่ได้” เยี่ยฉวนตอบ
“ฮึ เจ้าก็มีรสนิยมดีนี่ หากเจ้าชอบหญิงที่มีสัมพันธ์สวาทกับผู้ใดก็ได้เช่นนางล่ะก็ ข้าคงต้องดูถูกเจ้าจริงๆ”
จูซือเจียพ่นลมแต่ภายในใจกลับเบิกบาน เป็นครั้งแรกหลังอยู่ด้วยกันมานานที่เยี่ยฉวนพูดจาสมเหตุสมผล ทว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ใบหน้าสะสวยก็เย็นชาราวน้ำแข็งอีกครั้ง “ไม่… ผิดแล้ว ใครเป็นน้องหญิงของเจ้ากัน?”
แม้ชายผู้นี้จะดูซื่อสัตย์แต่กลับฉวยโอกาสจากผู้อื่นอยู่เสมอและนางมักจะตกหลุมพรางของเขาโดยไม่ทันระวัง จูซือเจียจ้องเยี่ยฉวนอย่างโกรธเคือง
“ศิษย์น้องหญิงและน้องหญิงก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เจียเจีย เป็นหญิงจะทำตัวแข็งกระด้างเกินไปก็ไม่ดี ข้าเกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตหลังแต่งงานที่ไม่ราบรื่น เจ้าอ้วน เจ้าว่าอย่างไร?” เยี่ยฉวนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาแอบผลักเจ้าอ้วนไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เจ้าอ้วนผู้จ้องหลิวหงไม่วางตาไม่ทันสังเกตความขัดแย้งเล็กๆ ระหว่างเยี่ยฉวนและจูซือเจีย เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยฉวนก็หันไปอย่างไร้สติ ‘เพียะ’ ฝ่ามือกระแทกใบหน้าของเจ้าอ้วนแทนเยี่ยฉวนอย่างแรง
ความโกรธที่ไม่อาจเก็บงำไว้ทำให้นางลงมือฟาดแก้มของเจ้าอ้วนจนใบหน้าปูดโปน
“หยุดมือ! รู้ผลแพ้ชนะแล้ว!”
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นพูดฉับพลัน จูซือเจียผู้กำลังจะเงื้อมืออีกครั้งหยุดชะงัก จ้าวต้าจื่อก็เมินเฉยต่อความเจ็บปวดและเงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน สังเวียนแห่งความเป็นตายได้ผู้ชนะแล้ว!
ยอดฝีมือแห่งสำนักเครื่องนิลเปิดฉากโจมตีเต็มกำลังเมื่อสบโอกาส เคราะห์ร้ายที่หลิวหงหลบได้อีกครั้ง นางออกแรงยันพื้นด้วยปลายเท้าและกระโดดขึ้นไปในอากาศยามที่อีกฝ่ายหมดแรง ริบบิ้นในมือรัดคอศิษย์สำนักเครื่องนิลก่อนที่นางจะออกแรงหักคอของชายหนุ่มเสีย ร่างอ่อนปวกเปียกร่วงลงบนพื้น หลิวหงยังคงลอยอยู่ในอากาศเผยให้เห็นต้นขาด้านในชัดเจนเนื่องจากกระโปรงหนังของนางสั้นเกินกว่าจะปกปิดสิ่งใดได้
“เยี่ยมยอด!”
“งดงามยิ่ง! เอาอีก!”
ฝูงชนนอกสังเวียนแห่งความเป็นตายพากันกู่ร้องกึกก้องอย่างเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ รูปร่างหน้าตาของนางสวยงามน่ารัก ระดับการฝึกตนก็สูงส่ง อีกทั้งยังจบการประลองอย่างพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ เป็นเรื่องยากที่จะไม่บ้าคลั่งด้วยความตื่นเต้น!
ในชั่วพริบตา หลายคนตกอยู่ในความงุนงง เจ้าอ้วนเองก็เช่นกัน เขาลืมรอยตบที่จูซือเจียฝากไว้โดยไร้เหตุผลโดยสมบูรณ์
“หึ จิ้งจอกก็ยังเป็นจิ้งจอก มีตั้งหลายพันวิธีที่ใช้ปลิดชีพศัตรูได้แต่กลับเลือกใช้วิธีนี้ ไร้ยางอายเสียจริง!”
จูซือเจียพ่นลมเหยียดหยามด้วยอารมณ์ขุ่นมัว นางไม่อยากยุ่งกับเยี่ยฉวนอีกต่อไปจึงหันหลังจากไปพลางเหลือบมองหงลี่ที่กำลังแสร้งทำตัวอ่อนแอ
บนสังเวียนแห่งความเป็นตาย ผู้ตัดสินทั้งสามลุกขึ้นพร้อมกับประกาศให้สำนักเบญจลักษณ์เป็นผู้ชนะ
ในที่สุดช่วงแรกของการประลองอันยิ่งใหญ่ก็สิ้นสุดลง ผู้คนจากสามนิกายใหญ่แยกย้ายกันไปตามลำดับ การประลองจะมีต่อในวันรุ่งขึ้น
เยี่ยฉวนเดินนำเจ้าอ้วน หนานเทียนโตว และผู้อื่นไปยังพื้นที่ตั้งค่ายของพวกเขา
ในการแข่งขันวันนี้ ฝีมือของหลิวหงยอดเยี่ยมเกินคาดไปเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ยาพิษที่อี้สั่วผสมในสุราสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว คนอย่างเยี่ยฉวนจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ เขาจะทำให้จินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามผู้อยู่เบื้องหลังไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผยตัวออกมาทีละคน!
เยี่ยฉวนเย้ยหยันในใจ เขาอยากจะล่องูให้ออกมาจากโพรงแล้วขจัดปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ให้หมดสิ้น!
ไม่ว่าอี้สั่ว จินจื่อคุน หรืออาวุโสอันดับสามคิดจะเล่นสกปรกใดกับเขา ทั้งหมดล้วนแต่อ่อนประสบการณ์ทั้งสิ้น!
“คุณชายเยี่ย รอก่อน คุณชายเยี่ย…”
น้ำเสียงอ่อนหวานดังมาจากเบื้องหลัง หลิวหงผู้สำแดงความสามารถบนสังเวียนแห่งความเป็นตายเมื่อครู่ตามหลังพวกเขามาโดยไม่คาดคิด สาวใช้ที่รวบผมหางม้าวิ่งตามมาติดๆ ปิดท้ายด้วยกลุ่มทหารอารักขาแห่งสำนักเบญจลักษณ์
ผู้คนโดยรอบหยุดเดินและจ้องมองพวกเขาทันที
มีศิษย์อายุน้อยอนาคตไกลมากมายจากสามสำนักใหญ่ เหตุใดนางจึงเจาะจงมองหาเยี่ยฉวนผู้แสนธรรมดาคนนี้?
ผู้คนต่างไม่เข้าใจ บ้างริษยา บ้างอิจฉาตาร้อนเสียจนมองเยี่ยฉวนเป็นศัตรู เยี่ยฉวนหันไปมองและพบใบหน้าที่คุ้นเคยในหมู่ทหารอารักขาของหลิวหง ศิษย์พี่ใหญ่กู่ชานเหลิงจ้องมองมาด้วยแววตาดุดันและโหดเหี้ยม
“แม่นางหลิว มองหาข้าอยู่หรือ?” เยี่ยฉวนกล่าวคำโดยเพิกเฉยต่อสายตาดุร้ายคู่นั้น
“ใช่ ข้ามาขอบคุณท่าน คนที่ข้าส่งไปที่อ่าวกลืนน้ำพบเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ข้าใคร่จะมอบให้ท่านเป็นของขวัญแต่ข้าไม่รู้ว่านี่คือเมล็ดพันธุ์ที่ท่านตามหาหรือไม่”
หลิวหงส่งถุงใบเล็กให้เยี่ยฉวน กลิ่นกายหอมของนางแทรกซึมเข้ามาในโพรงจมูก นางขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนหน้าอกอวบใหญ่แนบชิดกับอกของเขาก่อนจะกระซิบข้างใบหู “คุณชายเยี่ย ข้ามีข่าวดีอีกเรื่องจะแจ้ง เราค้นพบหม้อสัมฤทธิ์เก่าแก่ลึกลงไปร้อยเมตรในเหมืองแร่มณีครามดังท่านว่า แม้มันจะเสียหายเล็กน้อยแต่อักขระที่สลักไว้ส่วนใหญ่ยังอยู่ หลังจากซ่อมแซมแล้วอาจนำมาใช้เป็นหม้อหลักของเราได้ บิดาข้าและคนอื่นๆ ยังขุดคุ้ยกันอยู่เพราะอาจมีสิ่งอื่นซุกซ่อนอยู่ใต้ดินอีก เขาให้รางวัลข้าอย่างงามเพราะเรื่องนี้”
หลิวหงยินดียิ่งที่บังเอิญพบสมบัติโบราณและได้ช่วยเหลือบิดา นางเปล่งปลั่งด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเยี่ยฉวนทำให้นางได้บรรลุความปรารถนาในจิตใจ
“ดี ยินดีด้วย! ยินดีจริงๆ!” เยี่ยฉวนค่อนข้างประหลาดใจ เขาแค่ให้ข้อมูลกับนางเพื่อเป็นการตอบแทนโดยไม่คาดคิดว่าจะมีสมบัติซุกซ่อนอยู่ใต้ดินจริงๆ ไม่แปลกที่เจ้าสำนักเครื่องนิลจะเดินทางมาร่วมการประลองครั้งยิ่งใหญ่นี้ด้วยแต่กลับไร้วี่แววของเจ้าสำนักเบญจลักษณ์
“สำนักเบญจลักษณ์ของพวกเราดูยิ่งใหญ่ก็จริงหากแต่ระยะเวลาที่ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่นั้นยังสั้นนัก เรายังต้องรวบรวมอีกหลายสิ่ง ไม่เหมือนสำนักหมอกเมฆาของท่านที่มีมรดกตกทอดมายาวนานอีกทั้งยังรวบรวมสมบัติและเคล็ดวิชาเอาไว้มากมาย คุณชายเยี่ย ข้าจะขอบคุณท่านอย่างไรดี?” ดวงตาคู่โตที่เอ่อคลอทอดมองเยี่ยฉวน นางเอนตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะวางนิ้วลงบนหน้าอกและหมุนวนเป็นวงกลม หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับยุง “คุณชายเยี่ย คืนนี้ข้าจะรอท่านที่ป่าชายเลนบนเนินเขา เชิญมารับประทานอาหารดีๆ สักมื้อเถิด ท่านต้องมาให้ได้ล่ะ แล้วพบกัน”
หลิวหลงมองเยี่ยฉวนอย่างลึกซึ้งอีกครั้งก่อนจะจากไปพร้อมกับสาวใช้ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจาง เรียวขาสวยใต้กระโปรงสั้นนั้นกลายเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในผาปากอินทรี
ไกลออกไป สายตาของกู่ชานเหลิงฉายแววร้ายกาจยิ่งขึ้น เขาจับจ้องเยี่ยฉวนอย่างดุดันก่อนจะตามหลิวหงไปช้าๆ เหล่าผู้สังเกตการณ์ต่างพากันแยกย้าย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเยี่ยฉวนและหลิวหงสนทนากันเรื่องใดแต่ผู้ช่างสังเกตก็สามารถรับรู้ถึงความมีเลศนัยของหลิวหงได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่แม่นางหลิวหงพูดสิ่งใดกับท่านหรือ?” เจ้าอ้วนสงสัยใคร่รู้จนอดไม่ได้ที่จะถามหลังจากเดินตามเยี่ยฉวนไปไม่กี่ก้าว
เยี่ยฉวนยกยิ้มพลางกล่าว “นางว่าค่ายสำนักเบญจลักษณ์มีอาหารและสุรามากมาย จึงเชิญข้าให้ไปพบที่กระโจมคืนนี้เพื่อพูดคุยใต้แสงเทียนกับนาง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตอบตกลงไปหรือไม่?” เจ้าอ้วนถามด้วยความตื่นเต้นราวกับเป็นผู้ถูกนัดเสียเอง หวนนึกถึงอาหารตาที่ได้เห็นเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา
“ไม่ ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าดูเป็นคนง่ายๆ เช่นนั้นหรือ? หากว่าข้าจะอยากพูดคุยใต้แสงเทียนกับนาง ข้าก็จะเชิญนางมายังค่ายสำนักหมอกเมฆา”
เยี่ยฉวนยิ้มยียวนให้เจ้าอ้วนก่อนจะเดินจากไป
“จริงหรือ? ศิษย์พี่ใหญ่ แม่นางหลิวจะมาที่ค่ายของเราคืนนี้จริงหรือ?”
แววตาของเจ้าอ้วนลุกวาวพลางวิ่งตามเยี่ยฉวนไปอย่างกระตือรือร้น