บทที่ 8 คืบอรุณ
เยี่ยฉวนมุ่งหน้าไปยังหอศาสตราวุธโดยมีจูซือเจียติดตามไปด้วย
ขณะที่กำลังเข้าไปในหอศาสตราวุธ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยืนรออยู่นานแล้ว เขาคือจินหัวศิษย์ฝีมือดีแห่งหอแปรธาตุ! ขณะที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้า สายตาของจินหัวเหลือบมองรูปร่างโค้งเว้าอันเย้ายวนของจูซือเจียเป็นระยะ
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เยี่ยฉวนกล่าวคำเบาอย่างไม่ทุกข์ร้อน เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องมายืนรออยู่ตรงนี้ ท่าทีนิ่งเฉยของเขาทำให้จินหัวรู้สึกผิดหวังยิ่ง
“ไม่มีอันใด…ข้าเพียงอยากแนะนำ ทางที่ดีเจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากศิษย์น้องหญิง!”
ใบหน้าของจินหัวบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ สายตาเผยออกถึงความไม่พอใจยิ่ง
“อืม…ข้าเกรงว่าจะไม่ได้น่ะสิ” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากอยู่ข้างกายเจียเจียหรอกนะ…แต่เป็นนางต่างหากที่ตามติดข้า…”
“ตัวเศษเดน! หากท่านปู่มิได้ออกคำสั่งใครจะอยากตามติดเจ้า?!” จูซือเจียโกรธจัดพร้อมกับสะบัดมือของจินหัวอย่างไม่ใยดี เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางกำลังโกรธายิ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งสิ้น ทว่าในตอนนั้นเองที่นางเหลือบไปเห็นรอยยิ้มจางของเยี่ยฉวน จึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
“เช่นนั้นคงจบสิ้นแล้ว! เจ้าเข้าไปในหอคัมภีร์สงครามเองเถิด! ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์น่ะ ล้วนบรรลุขั้นซิวฉือระดับสามแล้ว! แม้เจ้าจะฝึกตนบรรลุถึงขั้นเทวาลัยก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควร เจ้าจะตายโดยฝีมือของพวกเขาเป็นแน่ หากเจ้ายังมีสมองอยู่บ้างก็จงทำตัวเช่นเต่าหดหัวอยู่ในยอดเขาเมฆาอินทนิลดังเดิมเสีย! เรื่องนี้ไม่สำคัญว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย แต่จงอย่าทำให้ชื่อเสียงของสำนักป่นปี้!”
ท่าทางของจินหัวเต็มไปด้วยความเกียจคร้านที่จะพูดกับเยี่ยฉวน “เจียเจียไปกับข้าดีกว่า ด้านหลังภูเขานั้นงดงามยิ่ง เราควรไปเดินเล่นกัน!”
บริเวณด้านหลังภูเขานั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ทำให้ศิษย์ทั่วไปไม่กล้าย่างกรายไปที่นั่นในตอนกลางวัน แต่สำหรับศิษย์ยอดฝีมือแล้วมันคือสถานที่ที่เหมาะแก่การพลอดรัก! นภากระจ่างเสมือนผ้าห่ม พื้นหญ้าเขียวขจีเสมือนเตียงนอน แค่คิดเช่นนั้นหัวใจก็เต้นแรง! จินหัวยื่นมือออกไปอีกครั้งหมายจะโอบเอวบางของจูซือเจีย
“ข้าไม่ไป อย่าได้รบเร้า! หากเจ้าอยากเป็นอาหารของแมลงวันอสูรก็ไปเองเถิด!”
เพี้ยะ! จูซือเจียปัดมือจินหัวคนนิสัยเสีย นางเดินเลี่ยงไปแสดงตราสัญลักษณ์ให้ทหารอารักขาและเดินเข้าไปในหอคัมภีร์สงครามโดยไม่หันกลับมามอง “นี่เจ้า! ถ้าต้องการค้นคว้าเคล็ดวิชาที่แกร่งกล้าก็เร็วหน่อยเถิด”
“ศิษย์น้องจินหัวดูเอาเถิด มิใช้ข้าที่ฉุดรั้งแต่เป็นนางที่ต้องการเช่นนี้ เฮ้อ สตรีงามเช่นนางนั้นช่างดื้อดึง แม้ข้าอยากสลัดทิ้งเท่าไรเห็นทีจะมิได้!”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพลางส่งสายตาราวกับกำลังตกที่นั่งลำบากให้จินหัว ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในหอคัมภีร์สงคราม
หลังจากเยี่ยฉวนหายลับไป จินหัวเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในอกของเขาปั่นป่วนไปด้วยความโกรธา! ตั้งแต่ที่เยี่ยฉวนกลับมาจากสุสานเทพเจ้า จูซือเจียก็ผิดแปลกไป นางมักจะอารมณ์ไม่ดีบ่อยครั้ง บ้างก็เหม่อลอยและไม่สนใจเขา
“ต่อจากนี้ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังยิ้มออกอยู่หรือไม่!”
เขาขบกรามแน่นก่อนเดินจากไป ความโกรธของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังไฟที่โหมกระหน่ำ
เขาทั้งหล่อกว่า! ภูมิหลังดีกว่า! ทั้งยังแข็งแกร่งกว่า! ไม่เข้าใจว่าตนด้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้แสนธรรมดาและอ่อนแอเป็นนิจตรงไหน! หลังจากรอดพ้นเคราะห์ใหญ่นิสัยของเยี่ยฉวนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้ว่านิสัยร้ายกาจนั้นอาจดึงดูดความสนใจของจูซือเจีย?! เขาร้ายไม่เท่าอย่างนั้นหรือ?
จินหัวขุ่นเคืองยิ่งนักที่ไม่สามารถเกี้ยวพาราสีจูซือเจียได้ จึงคิดแผนการที่จะทำให้เยี่ยฉวนต้องตกที่นั่งลำบากเพื่อระบายความแค้น!
ทหารอารักขาที่หอคัมภีร์สงครามนั้นเข้มงวดมาก ทว่าหลังจากเห็นตราสัญลักษณ์นี้แล้วพวกเขาก็ไม่ขัดขวางทั้งสอง จูซือเจียเดินเข้าไปด้านในโดยมีเยี่ยฉวนตามติด
หอคัมภีร์สงครามมีสามชั้นเช่นเดียวกับหอศาสตราวุธ หอแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นที่เก็บเคล็ดวิชาทุกประเภทรวมไปถึงเคล็ดวิชาขั้นเทวาลัย ลือกันว่าเคล็ดวิชาของมหาปราชญ์ก็ถูกเก็บไว้ที่นี่เช่นกัน! แม้ว่าเคล็ดวิชาต่างๆ จะทรงพลังเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปสัมผัสกับเคล็ดวิชาเหล่านั้นหากปราศจากตราอนุญาตของเหล่าผู้อาวุโส
“เคล็ดวิชาโลหะทองคำ ทำให้ผู้ฝึกอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า! เจ้าคิดว่าอย่างไร?!” เมื่อจูซือเจียละทิ้งความโกรธออกไปทำให้จัดการเรื่องต่างๆ ได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ รู้ว่าเทคนิคการต่อสู้แบบไหนที่แข็งแกร่ง นางรู้อยู่แล้วว่าเวลาการฝึกของเยี่ยฉวนนั้นมีจำกัดและเขาอาจต้องตายในการท้าประลองที่กำลังจะมาถึง จึงช่วยเขาเฟ้นหาเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งเพื่อให้เขานำไปฝึกฝน แค่เพราะไม่อยากให้ทุกคนในสำนักต้องขายหน้าหากเขาตายอย่างอนาถ
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ “ไม่ไหวหรอก…เปลี่ยนเถอะ”
“เคล็ดวิชาวาโยเคลื่อนจันทร์ ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถต้านทานลมและเหาะไปมาได้ในคืนเดือนหงาย เป็นอย่างไร? เคล็ดวิชานี้ทรงพลังยิ่ง!” ขณะที่จูซือเจียหยิบตำราเล่มเล็กออกมา เยี่ยฉวนได้กลิ่นกายหอมเย้ายวนชวนให้มึนเมาจากนาง เมื่อศีรษะของทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้กัน เขาจงใจสูดหายใจเข้าเต็มปอดในขณะที่สายตาลอบมองหน้าอกของนาง
“ทรามนัก!”
พอรู้ตัว จูซือเจียจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวนพร้อมถอยห่างด้วยความโกรธและอับอาย ลำคอเปลี่ยนเป็นสีแดง
“เปลี่ยนเคล็ดวิชาใหม่…” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพร้อมยิ้มให้จูซือเจีย ใครจะนึกว่าสาวน้อยผู้ดื้อรั้นและปากร้ายนางนี้จะรู้สึกเขินอายเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
หอคัมภีร์สงครามเป็นสถานที่สำคัญของสำนักหมอกเมฆา อีกทั้งยังเป็นที่เก็บเคล็ดวิชาสำคัญต่างๆ ซึ่งจะเปิดให้เหล่าลูกศิษย์เข้าไปเลือกเคล็ดวิชาแค่เพียงหนึ่งครั้งต่อปี เยี่ยชวนไม่สนใจตำราที่จูซือเจียแนะนำเลยสักนิด เขาเลือกตำราที่มีอักษร ‘คืบอรุณ’ อยู่บนปก
“นะ…นี่มันเป็นเคล็ดวิชาสำหรับผู้บรรลุขั้นอูเจ๋อ เจ้า…” จูซือเจียมองเยี่ยฉวนอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาไม่ต้องการเคล็ดวิชาในขั้นซิวฉือที่บรรดาผู้ฝึกตนต่างโหยหา แต่กลับเลือกเคล็ดวิชาขั้นอูเจ๋อ! สมองของเจ้านี่ต้องมีปัญหาแน่!
จูซือเจียไม่เข้าใจว่าในเมื่อเขามีโอกาสเลือกเคล็ดวิชาสำหรับฝึกขั้นซิวฉือ แล้วเหตุใดจึงเลือกเคล็ดวิชาสำหรับผู้ฝึกตนขั้นอูเจ๋อที่ไม่มีผู้ใดต้องการ
นางมองเยี่ยฉวนหัวจรดเท้าอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เขากลับมาจากสุสานเทพเจ้านางก็ไม่สามารถคาดเดาการกระทำและความคิดของเขาได้เลย
“ข้าบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับที่ห้าแล้ว หากไม่เลือกเคล็ดวิชาของขั้นอูเจ๋อแล้วข้าจะเลือกอะไรเล่า?” เยี่ยฉวนหัวเราะและเดินออกไป
เคล็ดวิชาคืบอรุณไม่เป็นที่สนใจของใครหลายคน คงมีเพียงเยี่ยฉวนเท่านั้นที่รู้ว่าเคล็ดวิชานี้ เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ผู้ก่อตั้งสำนักหมอกเมฆา!
ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณเป็นกระต่ายปีศาจผู้ตะกละ ปากของเขาไม่เคยหยุดขยับเพราะชอบขโมยสมบัติและกินพืชสมุนไพร ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักซ่อนมีดเล็กไว้ในปาก…หลังจากที่พยายามอย่างหนักและปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็รวบรวมความสามารถทั้งหมดกลั่นกรองออกมาเป็นเคล็ดวิชาขั้นอูเจ๋อ และหลังจากที่เยี่ยฉวนกลายเป็นมหาปราชญ์แล้ว…ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณก็ได้ปรับเปลี่ยนเคล็ดวิชาอีกครั้ง พลังของมันเมื่อมันเสร็จสมบูรณ์เหนือกว่าเคล็ดวิชาขั้นซิวฉือเสียอีก!
น่าเสียดายที่หนึ่งล้านปีต่อมา ไม่มีศิษย์ใดในสำนักรู้ถึงความร้ายกาจของเคล็ดวิชานี้เลยสักคน!
ทุกครั้งที่เหล่าลูกศิษย์ได้รับอนุญาตให้เข้าหอคัมภีร์สงคราม พวกเขาจะรีบเร่งเลือกเคล็ดวิชาในขั้นซิวฉือ แล้วผู้ใดจะชายตามองเคล็ดวิชาของขั้นอูเจ๋อที่วางอยู่ตรงมุมเล่า?!
แม้ว่าจะมีใครเลือกศึกษาเนื้อหาภายในเคล็ดวิชาคืบอรุณแต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ เพราะจิตใจของพวกเขานั้นไม่สงบและไม่มีความพยายามมากพอ ทำให้พวกเขาไม่ทันรู้ว่าเคล็ดวิชานี้มีความแข็งแกร่งเพียงใด!
เยี่ยฉวนหยิบตำราเปื้อนฝุ่นขึ้นมาและเดินออกจากหอคัมภีร์สงคราม มุ่งหน้าไปยังหอศาสตราวุธเพื่อเลือกใบมีดเล็กที่ยาวหนึ่งคืบ…
หลังจากอาวุโสในสำนักได้รู้ถึงการเคลื่อนไหวของเยี่ยฉวนในวันนี้ ทุกคนเผยสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ขณะที่ทุกคนกำลังปวดหัว ตอนนั้นเองที่จินหัวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา!
เข้าไปในหุบเขาสมบัติด้วยมือเปล่า…ถ้าไม่เรียกว่าโง่เง่าแล้วจะเรียกว่าอะไร?!
จินหัวระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่พอคิดถึงจูซือเจียที่อยู่ไม่ห่างจากคนโง่เขลาอย่างเยี่ยฉวนจนไม่สนใจตนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่…
เขาจะพ่ายแพ้ผู้ใดในโลกนี้ก็ย่อมได้ แต่หากต้องพ่ายแพ้ต่อเยี่ยฉวน เขาจะมีหน้าไปพบใครได้อีก?!
จินหัวถ่ายเทพลังปราณไปที่ข้อมือมากเกินไปจนทำให้จอกสุราแตกออก คนรับใช้ที่อยู่ใกล้เผยสีหน้าตื่นตระหนกยิ่ง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะอารมณ์เสียและสุรารสหวานก็ไม่สามารถคลายความโกรธของเขาได้!
“นายน้อย…หากท่านต้องการให้เจ้าเยี่ยฉวนประสบเคราะห์นั้นไม่ยากนักหรอก! พวกเราต้อง…”
คนรับใช้ที่ยืนอย่างสงบมานานนั้นมองออกว่าจินหัวกำลังคิดอ่านสิ่งใด จึงก้าวไปด้านหน้าสองก้าวและกระซิบบางอย่างให้จินหัวฟัง ทันใดนั้นสายตาเศร้าหมองพลันสดใสขึ้น และหัวเราะออกมาอีกครั้ง!
ห่างออกไปหนึ่งร้อยกิโลเมตร…ภายในสำนักเครื่องนิล มีคนผู้หนึ่งกำลังระเบิดเสียงหัวเราะเช่นกัน…
“ฮ่าๆๆ มีเพียงร่างกายสามัญ ความสามารถหรือก็ธรรมดา ยังเลือกคัมภีร์ไร้ประโยชน์จากหอศาสตราวุธอีก? ดั้นด้นเข้าไปยังหอคัมภีร์สงครามเพียงเพื่อเลือกเคล็ดวิชาในขั้นอูเจ๋อแทนที่จะเป็นเคล็ดวิชาในขั้นซิวฉือ! หากสำนักหมอกเมฆามีศิษย์พี่ใหญ่เช่นนี้ แม้อยากจะชนะเพียงใดก็คงเป็นไปไม่ได้แน่! ช่างเคราะห์ร้ายนัก!”
ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักเครื่องนิลมีหม้อขนาดใหญ่สองแถวเรียงกัน ชายร่างสูงกว่าสองเมตรกำลังหัวเราะขบขัน เมื่อหนำใจแล้วเขาก็มองไปยังที่ปรึกษาคนสนิทที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา “เสี่ยวอู๋…เยี่ยฉวนบรรลุเพียงขั้นอูเจ๋อระดับห้าจริงหรือไม่? เจ้าตรวจสอบหรือยัง?!”
“รายงานท่านเจ้าสำนัก…ข้าน้อยตรวจสอบแล้วพบว่าข้อมูลนี้เป็นความจริงขอรับ!” เสี่ยวอู๋ตอบกลับ
“ฮ่าๆๆ! ดี! สืบต่อไป! คราหน้าไปสืบข้อมูลการเคลื่อนไหวของสำนักเบญจลักษณ์มาด้วย…จุดจบของสำนักหมอกเมฆามาถึงแล้ว! อีกไม่ช้าตำแหน่งเจ้าแห่งเทือกเขาหมอกเมฆาก็จะเป็นของสำนักเครื่องนิล!”
ชายร่างใหญ่หัวเราะเสียงดังจนหม้อเหล็กเก้าสิบเก้าใบในห้องโถงสั่นสะเทือน ศิษย์ที่อารักขาอยู่ด้านนอกต่างแสบแก้วหู เขานิ่งไปครู่หนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ไม่ได้การล่ะ! ข้าต้องไปสังเกตการณ์สำนักหมอกเมฆาด้วยตาตนเอง มิฉะนั้นข้าจะไม่มีวันสบายใจ! อืม…ข้าควรเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่แบบไหนกันนะ?”
ชายร่างใหญ่นั่งอยู่บนแท่นสูงสุดของห้องโถงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาของเขาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งมุมปากของเขายกยิ้มอย่างชั่วร้าย ดูเหมือนว่าเขากำลังจะกระทำบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด…