บทที่ 82 สามกระบวนท่า
“ศิษย์พี่ใหญ่! ศิษย์พี่ใหญ่!”
จ้าวต้าจ่อที่อยู่นอกกระโจมตะโกนเรียกเยี่ยฉวนดังลั่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกระดากอาย “ศิษย์พี่ใหญ่! สํานักเครื่องนิลให้ข้ามาเรียกท่านอีกครั้ง หากเราไม่ไปตอน นี้พวกเขาจะปรับให้พวกเราแพ้การประลองนะขอรับ!”
เวลาผ่านไปจนเที่ยงวันในชั่วพริบตา!
เยี่ยฉวนและหนานเทียนโตวเก็บตัวเงียบอยู่ในกระโจมเป็นเวลานานโดยไร้อุ้มเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาไม่มีผู้ ใดรู้ว่าทั้งสองกําลังทําสิ่งใดอยู่ด้านใน บรรดาศิษย์ของสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ได้กระตุ้นเตือนพวกเขาหลายครั้งเนื่องจากเลยเวลาการประลองมาพักใหญ่แล้ว ความโชคร้ายจึงตกอยู่กับเจ้าอ้วนที่เป็นผู้ ส่งข่าวของสํานักหมอกเมฆา เขาวิ่งไปมาจากที่พํานักกับสนามประลองบ่อยครั้งจนใบหน้ามีแต่เม็ดเหงื่อ
“เขาเรียกพวกเราครั้งนี้เป็นครั้งที่เก้าแล้ว”
เยี่ยฉวนยกยิ้มอย่างใจเย็นก่อนเอ่ยถาม “ถึงกระนั้นก็เถอะ…ศิษย์น้องเทียนโตว เจ้าต้องการพักหรือไม่?”
“ไม่! ศิษย์พี่ใหญ่ ให้ข้าไปเถิด!” หนานเทียนโตวกล่าวด้วยความกระตือรือร้นแรงกล้า!
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นคู่ต่อสู้จากสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์อยู่ในสายตา ทว่าตอนนี้เขาบรรลุระดับที่สูงขึ้นมาอีกขั้นทั้งยังดวงจิตยังเกิดปราณกระบี่ทะยานฟ้า ทําให้ความมั่นใจยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี!
“ประเสริฐ! เช่นนั้นก็ไปเถิด!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าพร้อมลุกยืนขึ้นก่อนน้าหนานเทียนโตว ไปยังสังเวียนแห่งความเป็นตายอีกครั้ง! บรรดาศิษย์ของสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ที่รอคอยอยู่นานแล้วกําลังก่อความวุ่นวายเพราะความอดทนใกล้หมดลง
ผู้ตัดสินสามคนออกมาจับสลากเหนือสังเวียนที่ใช้เป็นสนามประลอง ผลการจับสลากรอบนี้สํานักเมฆาไม่เป็นผู้ถูกเลือกสํานักเครื่องนิลประลองกับสํานักเบญจลักษณ์ ทั้งสองส่งตัวแทนขึ้นไปบนสังเวียนอย่างรวดเร็ว ตลอดการประลองที่ทั้งโหดเหี้ยมและอันตรายยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างหวุดหวิด ร่างกายของเขา บาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดมาก ส่วนยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ถูกโจมตีจนสิ้นชีพ
บนสังเวียนแห่งความเป็นตาย การมีชีวิตรอดหรือตายตกต้องพึ่งพาโชคชะตาเท่านั้น การประลองในแต่ละครั้งดุเดือดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เลือดแดงฉานสาดกระ เซ็นโดยรอบ..กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ตราบใดที่คู่ต่อสู้ยังไม่ถึงแก่ความตายอีกฝ่ายไม่มีทางหยุดมือ!
สังเวียนแห่งความเป็นตายที่ผู้ประลองต่อสู้กันจนเกิดการนองเลือดเช่นนี้ทําให้ฝูงชนที่รับชมอยู่บนอัฒจันทร์ยิ่งหวาดกลัวและตื่นเต้น! ศิษย์สํานักเครื่องนิลโห่ร้องดังกระหึมเมื่อพวกตนได้รับชัยชนะ ส่วนศิษย์สํานักเบญจลักษณ์รวมถึงอี้สั่วเงียบกริบ
เขาไม่สนใจเหตุการณ์รอบข้าง แต่กําลังรอโอกาสปลิดชีพเยี่ยฉวนโดยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว!
เยี่ยฉวนรอคอยให้ทั้งอี้สั่วและจินจื่อคุนที่หลบซ่อนอยู่เผย แผนการชั่วร้ายเช่นกัน! เขาไม่หวั่นเกรงว่าสองคนนั้นจะใช้วิธีใดโจมตี หากกล้าเผชิญหน้าโดยตรงเขาย่อมตั้งรับหรือหากพวกเขาลอบวางแผนสกปรกเขาก็มีหนทางแก้ไข
หลังทําความสะอาดสังเวียนแห่งความเป็นตายจนสะอาดเอี่ยมการประลองครั้งที่สามของวันนี้จึงเริ่มขึ้น สํานักหมอกเมฆาจับคู่ครั้งที่สี่กับสํานักเบญจลักษณ์ ทั้งยังเป็นการประลองครั้งสําคัญเพราะเป็นการตัดสินสถานการณ์โดยรวมของพวกเขา…
หากสํานักหมอกเมฆาชนะอันดับจะทะยานขึ้นสู่อันดับสองรองจากสํานักเครื่องนิลที่เป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ หากแพ้พวกเขาจะตกลงมาอยู่อันดับสุดท้ายอย่างยับเยินแม้หลังจากนี้มีโอกาสประลองอีกสองครั้งก็ได้โอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาชนะ!
ครั้งนี้เยี่ยฉวนจะส่งศิษย์คนใดไปประลอง?
จูซือเจียผู้มีเรือนร่างเย้ายวน? หรือเขาจะลงสนามด้วยตัวเอง?!
ฝูงชนต่างพุ่งความสนใจไปที่เยี่ยฉวนและเหล่าตัวแทนจากสํานักหมอกเมฆาอีกครั้ง!
รอบนี้ผู้ประลองเป็นยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ เขาใช้เคล็ดวิชาวายุวิถีเร้นกายจนมืดลงก่อนจางหายไปในพริบตา ก่อนปรากฏตัวขึ้นบนสังเวียนแห่งความเป็นตายห่างจากจุดเดิมเกือบหนึ่งร้อยเมตรพร้อมลมหนาวที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรง! การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเคล็ดวิชาลับทรงพลังของสํานักเบญจลักษณ์ทําให้เขาได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้อง! เขาฝืนฝนเคล็ดวิชาวายุวิถีจนบรรลุในระดับที่สมบูรณ์แบบ แม้ขั้นการฝึกตนไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าศิษย์พี่ใหญ่กู่ชานเหลิง ทว่าวิทยายุทธของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กัน!
“สํานักเบญจลักษณ์! สํานักเบญจลักษณ์!”
“ฆ่ามัน! กวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซาก! ฆ่ามันซะ!”
ฝูงชนบนอัฒจันทร์โห่ร้องและปรบมือสนเสียง เกิดเป็นคลื่นสะท้อน บรรดาศิษย์ต่างส่งเสียงตะโกนอย่างอีก เริ่มโดยไม่มีใครยอมใครสถานการณ์เริ่มวุ่นวายหลังจากยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ปรากฏตัวบนสังเวียนไม่กี่นาที
เยี่ยฉวนไม่ใส่ใจความโกลาหลที่เกิดขึ้นในหมู่ชน เขาใช้ความคิดไตร่ตรองอย่างใจเย็นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปหาหนานเทียนโตวที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ศิษย์น้องเทียนโตวครั้งนี้เจ้าใช้กี่กระบวน ท่า?!”
“สามกระบวน! ศิษย์พี่ใหญ่โปรดวางใจ…ศิษย์น้องจะสังหารมันในสามกระบวนท่าเท่านั้น!” หนานเทียนโตวเรียกขานเยี่ยฉวนว่าศิษย์พี่ใหญ่ด้วยความนับถือจากใจจริง!
เขากระโดดขึ้นไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตาย พร้อมก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าตัวแทนจากสํานักเบญจลักษณ์ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
“เจ้าอีกแล้ว??!”
ยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ผู้ยืนอยู่ก่อนเผยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุร้ายขณะแค่นเสียงออก “มาเถิด! เมื่อเช้านี้คนจากสํานักเครื่องนิลเป็นเพียงขยะชิ้นโต ทว่าสํานักเบญจลักษณ์ของข้าไม่อ่อนหัดเช่นนั้น! ข้าจะแสดงให้เห็นว่า…”
ทันใดนั้นแสงวาววับเย็นเยือกจากใบดาบพลันสะท้อนไปทั่วท้องฟ้า!
หนานเทียนโตวชักกระบีนิลสลักออกจากฝักอย่างรวดเร็ว โดยไม่ปริปากเอ่ยคําใด พร้อมพุ่งทะยานเข้าหาคู่ต่อสู้โดยไม่รอช้า!
เขาไม่จําเป็นต้องพล่ามเรื่องไร้สาระให้มากความหากขี้นมาบนสังเวียนแห่งความเป็นตายแล้วก็ต้องต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะเท่านั้น!
กระบี่นิลสลักในมือเขาแผ่จิตสังหารเย็นเยียบ เขาเผยสีหน้าไร้ความรู้สึกขณะยกมันขึ้นสูงก่อนจ้วงแทงอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม! เพลงกระบี่ทําให้ควันรูปมังกรปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือสังเวียนประลอง…มันเปิดปากคํารามสนั่นหวั่นไหว!
นี่คือกระบวนท่าเดียวกับหัตถ์มังกรสังหารที่เขาใช้ในการประลองครั้งก่อนหน้า ทว่าพลังกลับแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าทวี
พลังยุทธ์ของหนานเทียนโตวเฟื่องฟูและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก หลังเยี่ยฉวนถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เขาภายในกระโจมครู่นี้
สีหน้าของยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ผู้แสดงพลังยุทธ์ในตอนแรกแปรเปลี่ยนทันที! เขาใช้เคล็ดวิชาวายุวิถีกระโดดหลบการโจมตีจากหนานเทียนโตวอย่างหวุดหวิด ก่อนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงมุมหนึ่งของสังเวียน ทันใดนั้นปราณกระบี่อันดุร้ายพุ่งตรงเข้าหาเขาอย่างรุนแรงและรวดเร็วปานสายฟ้า แต่คราวนี้เขากลับไม่มีเวลามากพอที่จะหลบหนี!
“ไอ้สารเลว! ข้ายอมเดิมพันหมดหน้าตักเพื่อฆ่าเจ้า!”
ยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเครียดเคร่งก่อนยกดาบในมือขึ้นสกัดกั้นอึ้ง! สิ้นเสียงอาวุธโลหะทั้งสองเล่มกระทบกัน กระบีนิลสลักของหนานเทียนโตวหักออกเป็นสองท่อน!
แม้กระบี่นิลสลักเป็นสมบัติวิเศษ ทว่าดาบของยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ทําจากวัสดุที่ล้ําค่ายิ่งกว่า เมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกันโดยแรงทําให้อาวุธที่ด้อยกว่าเสียเปรียบ!
“ฮ่าๆๆ! กระบี่สะท้านสวรรค์มีพลังแค่นี้เองรึ?! ฮ่าๆๆ!”
ยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ขณะที่เขากําลังปิติยินดีที่อาวุธของตนแข็งแกร่งกว่าความรู้สึกเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านขึ้นมาจากบริเวณอก เมื่อก้มลงมองจึงเห็นว่าอกของตนถูกอาวุธคมกริบแทงทะลุเลือด แดงฉานทะลักล้นออกมาจากรอยแผลราวหมูที่ถูกเชือด! เสียงหัวเราะเงียบลงอย่างฉับพลัน เขามองหนานเทียนโตวด้วยสายตาฉงนยิ่ง! ร่างสูงทรุดลงกองกับพื้น
โครม!
ฝูงชนบนอัฒจันทร์เผยสีหน้าตื่นตระหนกก่อนยืนขึ้น พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย!
ทุกคนมองกระบวนท่าที่หนานเทียนโตวใช้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง! มีเพียงไม่กี่คนที่ทันสังเกตเห็นว่าเขาใช้อาวุธสังหารอีกฝ่ายได้อย่างไร แม้แต่ผู้ตัดสินทั้งสามผู้ยืนอยู่เหนือสังเวียน แห่งความเป็นตายก็มองเห็นเพียงแสงสีแดงฉานที่พุ่งออกจากร่างของหนานเทียนโตวเท่านั้น! ยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ผู้เคราะห์ร้ายสิ้นลมหายใจทันที!
หนานเทียนโตวไม่มีกระบี่คู่กายอยู่ในมือ เพราะมันปักอยู่กลางอกของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว!
หนานเทียนโตวผู้มีปราณกระบี่สะท้านฟ้า ทั้งยังบรรลุขั้นซิวฉือระดับที่สี่พัฒนาพลังยุทธ์ก้าวกระโดดไปอีกขั้น! ยอ ฝีมือของสํานักเบญจลักษณ์คงไม่รู้ว่ากระบี่นิลสลักเป็นอาวุธคู่กายชั้นเลิศราวมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเขาโดยเฉพาะ เมื่อเห็นมันถูกทําลายจนหักเป็นสองท่อนจึงมั่นใจว่าตนต้องเป็นผู้ นะอย่างแน่นอน ทว่าความประมาทนั้นทําให้พวกเขาต้องพบจุดจบอันน่าเศร้า
สามกระบวนท่า!
หนานเทียนโตวไม่ได้โกหก เขาสังหารยอดฝีมือจากสํานักเบญจลักษณ์ผู้บรรลุขั้นซิวฉือได้โดยใช้การเคลื่อนไหว เพียงสามครั้งจริง! ตอนนี้เขาเปรียบเหมือนแม่ทัพใหญ่ที่ไร้ศัตรู… เป็นผู้เดียวที่ทําให้ศิษย์ของสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์หวั่นเกรงจนหัวใจเต้นระรัว!
“ศิษย์พี่ใหญ่! ศิษย์น้องสังหารมันสําเร็จ!”
หนานเทียนโตวกระโดดลงจากสังเวียนแห่งความเป็นตายทันที เขาไม่ต้องการแสดงตนให้ฝูงชนชื่นชมแต่กลับกระโดดมายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยฉวนอย่างนอบน้อมและเงียบเชียบ ฝูงชนบนอัฒจันทร์ได้แต่มองตามด้วยสายตาที่หลากหลาย บ้างประหลาดใจบ้างริษยา บางรายนึกฉงนด้วยไม่คาดคิดว่ายอดฝีมือผู้มีวิทยายุทธเป็นเลิศผู้นี้จะเคารพและให้เกียรติศิษย์พี่ใหญ่ของตนถึงเพียงนี้
เยี่ยฉวนจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา…เขาอาจเป็นยอดฝีมือผู้เก็บซ่อนความสามารถอันปราดเปรื่องของตนไว้ก็เป็นได้!
บรรดาศิษย์ของทั้งสามสํานักผู้รับชมการประลองต่างมอง เยี่ยฉวนผู้เคยมีข่าวลือว่าทักษะอ่อนแอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แววตาของเจ้าสํานักโท่วป่าเชียงแห่งสํานักเครื่องนิลเปล่งประกายเจิดจ้าแบบที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความคิด!