บทที่ 83 ชุดเกราะเทพราชัน
สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์เลื่อนการประลองรอบถัดไปเป็นยามเย็นอีกครั้ง
การกระทําอันหยาบคายของสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ทําให้บรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆาลุกเป็นไฟด้วยความโกรธเคือง ผู้พิทักษ์หยางก็พยายามคัดค้านหนักแน่น แต่เยี่ยฉวนไม่ใส่ใจและยอมรับข้อเสนออย่างสงบอีกครั้ง
“ไอ้หนู ผิดคาดเสียจริง ถึงขั้นการฝึกตนของเจ้าจะไม่สูงนักแต่เจ้าก็กล้าหาญอยู่พอควร” โท่วป่าเซียงแสยะยิ้มพร้อมจ้องมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาเย็นชา
เขาเตรียมใช้กําลังเพื่อให้สํานักหมอกเมฆายอมรับข้อเสนอนี้และก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ผิดคาดที่เยี่ยฉวนพร้อมยอมรับข้อเสนอโดยไม่โต้แย้งอันใด ทําให้ทุกสิ่งที่เขาเตรียมการมาเปล่าประโยชน์
“ท่านชื่นชมข้าเกินไปแล้ว พ่อตาผู้ประเสริฐ ถึงรูปร่างหน้าตาของท่านจะไม่ดีนักแต่น่าแปลกที่ท่านให้กําเนิดบุตรสาวได้งดงามเช่นนี้ ข้าล่ะนับถือท่านจริงๆ!”
เยี่ยฉวนยกยิ้มชั่วร้าย จงใจส่งสายตาไปยังโท่วป่าเซียงเนียวผู้ยืนอยู่ข้างหลังบิดาก่อนจะเดินจากไป
ใบหน้าของโท่วป่าเซียงเนียวแดงถึงใบหู ตอนนี้นางอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใคร ส่วนโท่วป่าเซียงนั้นแทบระเบิดด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้า! ไอ้สารเลว!”
โท่วปาเซียงเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการสะดุดขาตัวเองอย่างถ่องแท้เป็นครั้งแรก หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจัดจนแทบจะไล่ตามเยี่ยฉวนและโจมตีอีกฝ่ายโดย ไม่สนสถานะของตนเอง
บรรดาศิษย์สํานักเบญจลักษณ์แอบหัวเราะและซุบซิบกัน ด้านศิษย์สํานักเครื่องนิลนั้นอับอายเป็นอันมาก
“ท่านเจ้าสํานัก ข้าควร…” หงสี่ก้าวขึ้นมาพร้อมแผ่จิตสังหารแรงกล้า เขาพร้อมแล้วที่จะก่อปัญหาและคว้าโอกาสสร้างความดีความชอบให้ตนเอง
“หลีกไปซะ! พวกเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่เหมือนกัน เหตุใดจึง แตกต่างกันนัก? เจ้ามีสมองหรือไม่?!” โท่วป่าเซียงคําราม ก้องโบกไม้โบกมือก่อนจะเดินจากไป
แม้การเลื่อนการประลองจะค่อนข้างหยาบคายทว่าไม่ถือ เป็นการละเมิดกฎ แต่ถ้าหากเขาโจมตีอีกฝ่ายนอกสังเวียน แห่งความเป็นตายต่อหน้าผู้คนแล้ว โท่วป่าเซียงจะยังเข้าห น้ากับผู้อื่นได้อีกหรือไม่? เช่นนี้จึงลืมเรื่องการฆ่าเยี่ยฉวนไปได้เลย
การฝึกตนของหงลี่นั้นโดดเด่นตั้งแต่วัยเยาว์ โท่วป่าเซียงจึงแต่งตั้งตําแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ประจําสํานักให้แก่เขาใน ยามก่อนโท่วป่าเซียงภูมิใจในตัวหงลอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบเขากับศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆา ทว่าเมื่อเห็นหงลี่ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย
ทั้งสองเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่มีอายุเท่ากัน แต่ดูสิว่าเยี่ยฉวนวางตัวอย่างไร? เขายิ้มรับพายุร้ายที่ถาโถมเข้ามาและวางแผน ลวงผู้อื่นได้ด้วยตนเอง มิหนําซ้ําเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างศิษย์น้องจํานวนมากต่างเชื่อฟังและเคารพยิ่ง ตรงข้ามกับหงสี่ที่มักจะถูกผู้อื่นหลอกลวงเสียมากกว่า ในการประลองรอบแรกเขาชนะโดยไม่ทันได้ต่อสู้ อีกทั้งบร รดาศิษย์สํานักเครื่องนิลเพียงแค่เสแสร้งเชื่อฟังเขาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้หมายความว่าหงดีไม่สามารถถือครองพลังที่ แท้จริงของสํานักได้
ยิ่งความโกรธในใจของเขาเพิ่มขึ้นเท่าใดเขาก็ยิ่งเดินเร็วมากเท่านั้น ชายหนุ่มไม่ได้กลับไปยังค่ายสํานักเครื่องนิล แต่กลับลักลอบเข้ามาในค่ายสํานักเบญจลักษณ์เพื่อพูดคุยกับ อาวุโสผู้เป็นอาวุโสสูงสุด
เจ้าสํานักเบญจลักษณ์ง่วนอยู่กับการขุดค้นเหมืองแร่สีครามเพื่อหาสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ดิน ในผาปากอินทรีจีงมีอาวุโสต์เป็นผู้ดูแลสํานักเบญจลักษณ์เพียงผู้เดียว
“ท่านอาวุโสต์ เราจะปล่อยให้สํานักหมอกเมฆาชนะไป เรื่อยๆ เช่นนี้ไม่ได้”
โท่วปาเซียงมุ่งไปที่ประเด็นสําคัญทันที แม้สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์จะไม่ลงรอยกันนักจนถึงขั้นต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่ทั้งสองต่างไม่ต้องการให้สํานักหมอกเมฆาแข็งแกร่งจนไม่อาจควบคุม
โดยรวมแล้วสํานักหมอกเมฆานั้นแตกต่างจากสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ สํานักหมอกเมฆามีประวัติความ เป็นมาที่ยาวนานและครอบครองสมบัติที่ตกทอดมามากมาย แม้จะค่อยๆ เสื่อมโทรมลงจากการรุกรานของสองสํานักใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่หากได้โอกาสลืมตาอ้าปากก็อาจจะกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง และเมื่อฟื้นคืนความ แข็งแกร่งจนเทียบเท่าในยุคทองก็คงมีไม่มีที่ยืนให้สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ในเทือกเขาหมอกเมฆาแห่งนี้อีกต่อไป
เหตุผลที่พวกเขาจงใจให้ศิษย์พี่ใหญ่ประจําสํานักเป็นผู้นํากลุ่มเข้าร่วมการประลองครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ก็เพื่อให้สํานักหมอกเมฆาอับอายขายหน้าและกําราบให้ราบคาบอีกครั้ง โท่วปาเซียงจึงไม่อาจปล่อยให้เยี่ยฉวนมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้
“ยาก ยากนัก ยากจริงๆ!”
อาวุโสต์ส่ายศีรษะก่อนเอ่ยเสียงต่ําอย่างไม่เต็มใจนัก “ทุกคนกล่าวกันว่าศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆาทั้งธรรมดาสามัญและโง่เง่า แต่ตอนนี้แม้พลังการฝึกตนของเขา จะไม่มากนักแต่สติปัญญานั้น… หึๆ เกรงว่าจะเหนือกว่าศิษย์พี่ใหญ่สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์อยู่มากโข สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือสํานักหมอกเมฆามีผู้สืบทอดกระบี่สะท้านสวรรค์ เขาสามารถจัดการปรมาจารย์ขั้นเดียว กับเขาได้หมดสิ้น จะมีผู้ใดต่อกรกับอัจฉริยะเช่นเขาได้? ท่านเจ้าสํานักมีความคิดดีๆ หรือไม่?”
ใบหน้าของอาวุโสตู้เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นทว่าจิตใจของ เขายังเยาว์วัยและเจ้าเล่ห์นัก เขาผลักปัญหาให้โท่วป่าเซียงทันที
โท่วป่าเซียงที่รู้ดีอยู่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ท่าน อาวุโสอย่าพูดจาไร้สาระไปเลย ข้ามีชุดเกราะเทพราชันที่ สามารถป้องกันได้แม้แต่อาวุธขั้นเทวาลัย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากสํานักหมอกเมฆาชนะเลิศคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันจนปกครองเทือกเขาหมอกเมฆาได้ในที่สุดถึงตอนนั้นพวกเราคง ลําบากมากเป็นแน่ หากท่านมีของดีอันใดก็รีบเอาออกมาเสีย!”
โท่วปาเซียงปรารถนาให้เยี่ยฉวนตายเสียจนคว้าชุดเกราะหนักอึ้งสะท้อนแสงสีดําขึ้นมาสวมใส่อย่างไม่ลังเล
นี่คือชุดเกราะเทพราชันซึ่งเป็นชุดเกราะที่เขาบังเอิญขโมยมาจากยอดฝีมือขั้นซิวฉือผู้หละหลวมคนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน ไม่ว่ากระบี่หรือหอกก็ไม่อาจแทงทะลุชุดเกราะนี้ได้ มันเป็น สมบัติที่เขาหวงแหนที่สุด แม้แต่จะนําออกมาให้โท่วป่าเซียงเนียวบุตรสาวดูก็ยังไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่บัดนี้เขาจําเป็นต้องนําออกมาเพื่อจัดการเยี่ยฉวน
“เยี่ยม ท่านเจ้าสํานักคือวีรบุรุษโดยแท้!”
อาวุโสตูมองดูเกราะเทพราชันในมือโท่วป่าเซียงด้วยความ ละโมบ เขาลังเลพักหนึ่งก่อนจะหยิบหอกสีแดงฉานออกมา “ข้าเรียกสิ่งนี้ว่าหอกโลหิต ขั้นการฝึกตนของผู้ที่สวมใส่ชุดเกราะเทพราชันพร้อมถือหอกโลหิตนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก หากมีสมบัติทั้งสองชิ้นนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นศิษย์สํานักเครื่องนิล หรือสํานักเบญจลักษณ์ก็สามารถฆ่าอัจฉริยะแห่งสํานักหมอ กเมฆาผู้นั้นบนสังเวียนและยึดครองกระบี่สะท้านสวรรค์มา ได้!”
“ฮ่าๆๆ ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง ท่านอาวุโสตูร้ายกาจนัก!” โท่วป่าเซียงหัวเราะลั่น สีหน้าเหี้ยมเกรียมราวกับมองเห็น ภาพสํานักหมอกเมฆาอยู่อันดับรั้งท้ายและเยี่ยฉวนต้องตัด แขนต่อหน้าทุกคน
“เกินไป ท่านชมข้าเกินไปแล้ว ท่านเจ้าสํานัก เรื่องที่เรา พูดกันคราวก่อน…”
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองหารือถึงเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในกระโจมขณะเดียวกัน อี้ส่วโค้งให้จินจือคุนผู้สวมหน้ากากด้วยความเคารพ
“ท่านเจ้าแห่งหอผู้ยิ่งใหญ่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก หนานเทียนโตวทรงพลังเกินไป หากเป็นเช่นนี้” สีหน้าของอี้ตั๋วดูเคียดแค้น การที่หนานเทียนโตวชนะการประลองถึง สองรอบทําให้จูซื้อเจีย เจ้าอ้วน และผู้เข้าร่วมประลองคนอื่นๆ โห่ร้องและกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี เหล่าศิษย์ สํานักหมอกเมฆาก็เช่นกัน ทว่าอี้ตั๋วกลับมีสีหน้าหดหู สําหรับเขานั้นความแค้นส่วนตัวอยู่เหนือเกียรติยศของสํานัก มานานแล้ว
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”
จินจือคุนกล่าวตอบเสียงทุ้ม
“ท่านเจ้าแห่งหอผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะมองดูเยี่ยฉวนได้ใจและ ปล่อยให้ทั้งโลกตื่นตาตื่นใจกับมันโดยที่เราทําอะไรไม่ได้เช่น นี้หรือขอรับ?” อี้สั่วเอ่ยถามอย่างร้อนรน เขาเสี่ยงมาพบ จินจือคุนเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายย่อมต้องมีวิธีจัด การกับเยี่ยฉวน จึงอดวิตกกังวลขึ้นมาไม่ได้เมื่อจินจือ คุนนิ่งเงียบ
“อดทน อดทน และอดทนเท่านั้น! วางใจได้ ตาเฒ่าโทวปาเซียงจะไม่นั่งดูมันเฉยๆ แน่นอน เขาไม่มีทางปล่อยให้ สํานักหมอกเมฆามีโอกาสได้หายใจและกลับไปรุ่งโรจน์ได้อีก สิ่งที่เราต้องทํามีเพียงอดทนรอโอกาสเงียบๆ และเมื่อถึงเวลานั้น…”
ดวงตาของจินจือคุนฉายแววมุ่งร้าย มือขวาทําท่าทางบันคอ อี้สัวพยักหน้าพร้อมสบกรามแน่นเพื่อระงับ อารมณ์อีกครั้ง!
เขารู้ว่าการประลองครั้งยิ่งใหญ่เหลืออีกไม่กี่วันเท่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้จะอดทนรอไปได้อีกนานเท่าใด และเมื่อไหร่กันที่เขาจะได้ล้างแค้นจากการถูกเหยียดหยามในครั้งนั้น?