บทที่ 213 เพิ่งเห็น
“ท่านเจ้าสํานักผู้ประเสริฐ ข้าขอสาบานว่าทุกอย่างที่ข้าพูดเป็นความจริง ไอ้สารเลวเยี่ยฉวนนี่น่ารังเกียจเกินทน เหตุใดจึงยังไม่ฆ่าเขาทิ้งเสีย?”
หลิวหงทั้งโกรธและกังวลจนต้องโวยวายออกมา
หญิงสาวคงทําได้เพียงมองดูเยี่ยฉวนหนีไปจากที่นี่อย่างสิ้นหวังหากไม่มีใครเชื่อคําพูดของนาง ขึ้นเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีทางฆ่าเขาได้เพราะความพยายามครั้งหน้าย่อมยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว!
“เฮ้อ… เขาว่ากันว่าสตรีมักเกลียดชังผู้ที่ไม่รับรักนางได้โดยง่ายและความหึงหวงก็ทําให้
ผู้คนเสียสติได้หลิวหง เหตุใดเจ้าจึงทําเช่นนี้?” เยี่ยฉวนสายศีรษะพลางเผยสีหน้าล่าบากใจทั้ง
ที่ภายในใจก่าลังเย้ยหยัน “ดูเอาเองแล้วกันว่ามีใครเชื่อเจ้าบ้าง?”
หลิวหงมองไปรอบตัวจึงพบว่าสีหน้าของผู้คนไม่สู้ดีนัก ไม่มีใครเชื่อนางแม้แต่คนเดียว…
ศิษย์สํานักหมอกเมฆาย่อมเกลียดนางเข้ากระดูกดําอยู่แล้ว พวกเขาคงพุ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาฆ่านางให้ตายในดาบเดียวหากทําได้ ส่วนเหล่าศิษย์สํานักเครื่องนิลที่ฝากความหวังไว้กับนาง
ก่อนหน้านี้กลับเผยสีหน้าไม่น่ามองและเผลอแสดงร่องรอยความชิงชังออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“ท่านเจ้าสํานักผู้ประเสริฐ สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด รีบสังหารเยี่ยฉวนเถิด ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก หากไม่รีบฆ่าเขาเสียตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะเจ้าคะ!” หลิวหงร้อนรนอยากปลิดชีพอีกฝ่ายด้วยตนเองใจแทบขาด แต่เมื่อนึกถึงบาดแผลชุ่มเลือดที่บั้นท้ายก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือ
“ไปให้พ้น! เจ้าสํานักอย่างข้าต้องรอให้เด็กสาวอย่างเจ้ามาชี้นิ้วสั่งให้โจมตีใครงั้นหรือ?!
ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเอง!”
โท่วป่าเซียงกล่าวออกด้วยสีหน้ามืดมนก่อนจะทุ่มหม้อสัมฤทธิ์หนักอึ้งลงกับพื้น! หลิวหงรีบหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางไม่น่ามองเอาเสียเลย
โท่วป่าเซียงหายใจหนักหน่วงด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อความขัดแย้งก่อตัวขึ้นในจิตใจ
แน่นอนว่าเขาไม่อยากปล่อยเยี่ยฉวนไปเช่นนี้ เพียงแค่คิดว่าต่อไปนี้อีกฝ่ายจะเรียกเขาว่าพ่อตาทุกครั้งที่พบหน้าก็แทบกระอักเลือด แต่หากตัดสินใจสังหารเยี่ยฉวนไปแล้วสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง โท่วป่าเซียงเนียวจะไม่เกลียดเขาไปตลอดชีวิตหรอกหรือ?
โท่วป่าเซียงรู้นิสัยของบุตรสาวดีที่สุด โดยปกตินางทั้งนุ่มนวล บอบบาง และไม่ชอบการต่อสู้ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่ตั้งใจแน่วแน่แล้วไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ โท่วป่าเซียงเพียวอ่อน
นอกแข็งในและหัวรั้นเหมือนผู้เป็นมารดาไม่มีผิด หากเขาฆ่าเยี่ยฉวนจริงนางอาจปลิดชีพตนเองตรงนี้เลยก็ได้
“ฮ่าๆๆ โท่วป่าเซียง เจ้าชิกจองหองเกินไปแล้ว! ข่มเหงสํานักเบญจลักษณ์โดยที่เจ้า
สํานักของเราไม่อยู่ ทําตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย อีกทั้งยังข่มขู่บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนแห่งสำนักเบญจลักษณ์ คิดว่าสานักเราไม่มีใครอย่างนั้นหรือ?”
น้ําเสียงเยือกเย็นและหดหูดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ไกลออกไปบริเวณที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกหนาทึบ กลุ่มคนในชุดคลุมศึกของสํานัก
เบญจลักษณ์ก้าวออกมาโดยมีชายชราร่างผอมราวกับเสาไม้ไผ่เดินนําหน้า ชุดคลุมของเขาหลวมโพรกราวกับภายในมีแต่โครงกระดูกและผ่ายผอมเสียจนอาจถูกลมพัดปลิว หากแต่แววตาของเขาคมกริบจนไม่มีผู้ใดกล้ามอง
ยอดฝีมืออีกคนมาเยือนในขณะที่โท่วป่าเซียงกําลังลังเลใจ อาวุโสเฟิงเหรินแห่งสํานักเบญจลักษณ์น่าศิษย์กลุ่มใหญ่จํานวนเท่ากับศิษย์สํานักเครื่องนิลตรงเข้ามา
สีหน้าของเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางลอบโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าภายในร่าง
โท่วป่าเซียงคนเดียวก็รับมือได้ยากแล้ว…ยังมีอาวุโสเฟิงเหรินผู้ไร้เหตุผลและยากจะต่อกรเข้ามาอีก สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก คู่ชานเหลิงศิษย์สายตรงของเฟิงเหรินและอดีตศิษย์พี่ใหญ่ในเวลานั้นถูกฆ่าตายบนสังเวียนในการประลองครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ชายชราย่อมต้องการล้างแค้นเป็นแน่!
สายตามุ่งร้ายตวัดมาทางเยี่ยฉวน
เยี่ยฉวนคาดเดาไม่ผิดนัก อาวุโสเพิ่งเห็นจ้องมองเขาด้วยสายตาปองร้ายและอาฆาต
แค้นอยู่ครู่หนึ่ง จิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาไม่น้อยไปกว่าโท่วป่าเซียงเลย
“ว่าอย่างไรไอ้หมาแก่เฟิงเหริน?! กล้าประลองกับข้าสักสามร้อยรอบโดยไม่มีการหลบ
เลี่ยงหรือไม่? ผู้ใดแพ้ต้องเห่าสามรอบ!”
โท่วป่าเซียงเผยสีหน้าชั่วร้ายและแสดงท่าที่แข็งกร้าวกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผู้อาวุโสเฟิงเหริน
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเฟิงเหรินเปลี่ยนเป็นสีแดงก๋าราวกับได้พ่ายแพ้และเห่าออกไปแล้ว
แต่ผู้อาวุโสก็ยังคงเป็นผู้อาวุโส เขากลับสู่สภาวะอารมณ์ปกติอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวออก “โท่วป่าเซียง อย่าเพิ่งอวดดีไปเลย ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อสู้กับเจ้า ข้าเพียงแค่อยากหารือบางสิ่งเท่านั้น”
“อยากพูดอะไรก็พูด อยากผายลมก็เชิญ!” โท่วป่าเซียงตอบ
สีหน้าของเฟิงเหรินแปรเปลี่ยนอีกครั้ง เขาพยายามระงับความขุ่นเคืองเอาไว้พลางเอ่ย
อย่างเย็นชา “ไม่มีอะไรซับซ้อน ข้าเองก็อยากฆ่าไอ้เด็กเยี่ยฉวนเช่นเดียวกับเจ้า หากเจ้าไม่อยากทําก็ถอยให้ข้าลงมือซะ! ข้าจะล้างแค้นให้ศิษย์ของข้าที่ตายตกไปบนสังเวียนแห่งความเป็นตาย เขาตายตาไม่หลับด้วยซ้ํา!”
ศิษย์สานักหมอกเมฆารวมถึงจุซื้อเจียเผยสีหน้าตึงเครียด
ก่อนหน้านี้โท่วป่าเซียงต้องการสังหารเยี่ยฉวน คราวนี้เป็นอาวุโสเฟิงเหรินแห่งสํานัก
เบญจลักษณ์ ดูท่าสํานักหมอกเมฆาจะต้องเพลี่ยงพล่าเสียแล้ว โชคร้ายไม่เคยมาแค่หนเดียวจริงๆ!
โท่วป่าเซียงยังคงเงียบกริบไม่แสดงจุดยืน
“ว่าอย่างไรโท่วป่าเซียง? อยากให้บุตรสาวของเจ้าแต่งงานกับไอ้เด็กแซ่เยี่ยนจริงหรือ?
เฮ้ๆ ระวังนางจะได้เป็นม่ายหลังแต่งเสียล่ะ!”
เฟิงเหรินเย้ยหยันและเพิ่มแรงกดดันด้วยการย่างเท้าเข้าหา พลังงานของเขาพลุ่งพล่านจนอากาศโดยรอบไหวกระเพื่อมราวกับอยู่ใจกลางพายุ แสงใบมีดส่องสว่างขึ้นรอบกายก่อนพายุหมุนจะกลายเป็นใบมีดคมกริบ!
เคล็ดวิชาวายุสังหาร!
เฟิงเหรินใช้ท่าไม้ตายของสานักเบญจลักษณ์ ผู้อาวุโสที่มีอานาจสูงสุดในสํานักเบญจ
ลักษณ์ไม่เพียงสร้างชื่อให้ตนเองด้วยเคล็ดวิชาวายุวิถีหากแต่ยังครอบครองเคล็ดวิชาวายุสังหารอันไร้เทียมทาน เขาไม่จําเป็นต้องเข้าใกล้ศัตรูเพื่อสังหารหากแต่ใช้ใบมีดนับพันจาก
สายลมแทน หากศัตรูไม่บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าเช่นเดียวกับเขาก็ยากจะหนีพ้น
ครั้งหนึ่งมีจอมยุทธ์ไร้สํานักที่เพิ่งบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า และไม่เกรงกลัวฟ้าดินเกิดขัดแย้งกับเฟิงเหรินเข้า ผลลัพธ์จากการประลองตัวต่อตัวคือชายผู้นั้นถูกฟันออกเป็นสามร้อยหกสิบชิ้นที่มีขนาดและน้ําหนักเท่ากันทุกประการ ก่อนถูกนําไปวางประจานบนโต๊ะราวกับคนขายเนื้อ เหล่าศิษย์และจอมยุทธ์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นั้นพากันสํารอกออกมาทันที!
“เซียงเนียว ไป ไปหาพ่อเจ้า!”
เยี่ยฉวนปล่อยมือจากเอวบางของโท่วป่าเซียงเพียวและหันไปมองเฟิงเหรินที่กําลังใกล้เข้ามาพลางโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าอย่างบ้าคลั่ง แสงสีขาวเลือนรางเริ่มหมุนวนไปทั่วกระดูกและผิวหนังเพื่อก่อร่างมังกรปีศาจขึ้น
โท่วป่าเซียงว่าน่าเกรงขามแล้ว แต่เฟิงเหรินที่กําลังย่างสามขุมเข้ามาด้วยความอาฆาต ทําให้ผู้คนรู้สึกถึงอันตรายเสียยิ่งกว่า!
ทว่าโท่วป่าเซียงเพียวที่อับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครและดิ้นรนออกจากอ้อมอกของเยี่ยฉวนอยู่เมื่อครู่กลับเกาะติดเยี่ยฉวนแน่นก่อนหันไปเผชิญหน้ากับเฟิงเหริน “ไม่ คุณชายเยี่ย ข้าจะไม่ไปไหน ท่านพ่อ…ข้าบอกแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับผู้ใดอีกนอกจากคุณชายเยี่ย หากเขาตายข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่ เชิญท่านยืนกอดอกดูข้ากับคุณชายเยี่ยตายตกไปด้วยเงื้อมมือของ
ปีศาจร้ายนี้เถอะ แต่ข้าก็อยากรู้นักว่าท่านจะยังมีหน้าไปพบท่านแม่ผู้ล่วงลับอีกหรือไม่”
โท่วป่าเซียงเนียวมองผู้เป็นบิดาด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ําใส… แลดูอ่อนแอและเปราะบาง ทว่าแน่วแน่เหลือเกิน นางไม่ยอมถอยห่างออกจากเยี่ยฉวนแม้เพียงครึ่งก้าว
เส้นเลือดสีน้ําเงินผุดขึ้นบนมือของโท่วป่าเซียง เขาไม่ปริปากเอ่ยคําใดทว่ากลับหอบ
หายใจหนักหน่วงเมื่อคําพูดสุดท้ายของโท่วป่าเซียงเพียวสะกิดใจเข้าอย่างรุนแรง
คนทั่วไปมักรู้เพียงว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและไร้เหตุผล แต่จะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ใช้ชีวิตเหลวแหลก จนกระทั่งการจากไปอย่างกะทันหันของมารดา
โท่วป่าเซียงเพียวเปลี่ยนเขาไปเป็นคนละคน โท่วป่าเซียงหันมาหมกมุ่นกับการฝึกตนและฝันอยากเป็นผู้ปกครองเทือกเขาหมอกเมฆาอีกทั้งยังไม่แตะต้องหญิงใดอีกเลย…