บทที่ 214 วังรอง
เพิ่งเห็นเร่งความเร็วทันทีที่เห็นโท่วป่าเซียงลังเล เขาต้องการฉวยโอกาสในจังหวะนี้เพื่อจัดการสังหารเยี่ยฉวนซะ ลมกรรโชกหมุนรอบกายจนเผยใบมีดคมออกมา
หากลมแรงนี้ปะทะเข้ากับใบหน้าของผู้คนโดยตรงมันจะทําให้พวกเขารู้สึกเจ็บแสบอย่างรุนแรง
ในตอนนี้โท่วป่าเซียงเพียวไม่สามารถลืมตาได้ เพียงแค่เปิดเปลือกตาเพียงเล็กน้อยยังรู้สึกว่ากําลังเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างใหญ่หลวง ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจทําให้นางต้องตายตกไปโดยที่ไม่เหลือแม้ศพให้กลับไปฝัง ใบมีดของเฟิงเหรินสามารถนั่นร่างกายมนุษย์ให้แหลกละเอียดเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นได้อย่างง่ายดาย
เหล่าศิษย์แห่งสํานักทั้งสามเริ่มกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลัง
ไม่เพียงแต่สํานักหมอกเมฆากับสํานักเครื่องนี้ลเท่านั้นที่แตกตื่น แต่เหล่าศิษย์จากสํานักเบญจลักษณ์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างไม่ยอมแพ้ราวกับกลัวว่าจะพลาดช่วงเวลาสําคัญไป
ในขณะนั้นเอง พลังอ่อนโยนบางเบาเริ่มเกาะกุมเอวบางโท่วป่าเซียงเพียว ในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้… เยี่ยฉวนคิดผลักหญิงสาวข้างกายออกห่างเพราะไม่ต้องการให้นางได้รับอันตรายใด
“ไม่! คุณขยเยี่ย.. ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
โท่วป่าเซียงกรีดร้องและเริ่มกอดรัดเยี่ยฉวนไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ในขณะนั้นเองนางก็ไม่รู้เขั้นกันว่าเหตุใดตนจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ แต่อย่างไรเสียนางก็ยังคิดว่าตนเพียงต้องการปกป้องและไม่อยากให้เขาตายตกอยู่ที่นี่เท่านั้น
ตอนนี้นางพยายามจะตอบแทนบุญคุณของเยี่ยฉวนที่ช่วยเหลือนางไว้ในป่าหมื่นอสูรหรือว่าเป็นอย่างอื่นกันแน่?
โท่วป่าเซียงเพียวไม่อาจตอบคําถามนี้กับตนเองได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและนางปล่อยให้หัวใจควบคุมร่างกายโดยปราศจากข้อกังขาใด…
ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าใบภายในร่างกายของเยี่ยฉวนกําลังโคจรอย่างบ้าคลั่งและเขาไม่
ได้กล่าวคําใดตอบ ทันใดนั้นเขาหมุนกายไปยืนอยู่ตรงหน้าของโท่วป่าเซียงเพียวพร้อมยื่นมือ
ออกและคํารามลั่น
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้เคล็ดวิชาเก่งกล้าเพียงใด แม้ว่ามันจะมีใบมีดคมปลาบมากมายนับพันเล่ม… ข้าก็จะรับมันไว้เอง!
เยี่ยฉวนไม่ได้เรียกกองทัพปีศาจวัวออกมาจากโคมบงกชสีครามเพื่อตอบโต้กับศัตรู อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เรียกภูตทะเลไหลลี่และปีศาจเฒ่าเฮยกุ้ยในร่างหุ่นกระบอกด้วยเช่นกัน เขาเพียงแต่รับการโจมตีของศัตรูด้วยมือเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งเห็นแข็งแกร่งเกินไปหรือว่าเขากําลังตก
อยู่ในอํานาจของกฏแห่งอาณาจักรสวรรค์กันแน่ จิตสังหารของเขาพลุ่งพล่านขึ้นพร้อมกับหยดเลือดมังกรปีศาจที่ถูกขัดเกลาวิ่งพล่านไปทั่วแขนและขา ทั้งหมดแทรกซึมลงในกระดูกราวกับว่ากําลังจะพัฒนาร่างกายให้กลายเป็นมังกรปีศาจในตํานานที่ไม่ว่าจะดาบหรือหอกก็ไม่มีวันฟันแทงเข้า!
เครั้ง เครั้ง เครั้งเครั้ง…
เสียงแหลมคมดังก้องอย่างต่อเนื่องพร้อมกับฝุ่นลอยคละคลุ้งในอากาศ
เยี่ยฉวนไม่ได้รู้สึกยอมแพ้แม้ตนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาไม่เกรงกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเลยแม้แต่น้อย มือขวายังอยู่ในตําแหน่งที่มั่นคงและมือซ้ายถือเตาหลอมระดับสวรรค์เอาไว้แน่น เขารวบรวมพลังเพื่อที่จะโต้ตอบด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี แต่ก่อนที่จะได้ปะทะกับเฟิงเหริน ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาอย่างองอาจ อีกฝ่ายยกหม้อสัมฤทธิ์ขึ้นเพื่อป้องกัน
การโจมตีของอาวุโสเฟิงเหรินเอาไว้ได้ทันเวลา
ในที่สุดโท่วป่าเซียงก็เคลื่อนไหว
ทั้งใบมีดและกระแสลมกรรโชกของเฟิงเห็นล้วนแต่ทรงพลัง เกราะหนักทั่วไปไม่อาจต้านทานใบมีดวายุนับพันพวกนี้ได้เลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ก็ยังยากจะจัดการพวกมัน แต่โท่วป่าเซียงคือใคร?
เขาคือจ้าวสํานักเครื่องนิลและเป็นหนึ่งอาวุโสที่สุดแสนจะทรงพลังของเทือกเขาหมอกเมฆา เขารู้วิธีจัดการกับเฟิงเหรินที่เป็นศัตรูเก่านี้ดียิ่งกว่าใครระหว่างพวกเขาทั้งสองเคยมีการ
ต่อสู้มากมายเกิดขึ้นจนนับครั้งไม่ถ้วน
“โท่วป่าเซียง! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้างั้นหรือไอ้หมีป่า!”
ใบหน้าเฟิงเหรินพลันบิดเบี้ยวไม่น่าดู ร่างกายเริ่มขยับยขวาในทันที มันคล้ายกับเคล็ดวิข้าที่เยี่ยฉวนใช้แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่า ความเร็วของเขาไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า มีเพียงภาพจําที่ถูกทิ้งไว้ในสายตาเท่านั้น ฉับพลันเกิดเสียงดังลั่นเจาะโสตประสาท สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เพียงดาบลมอีกต่อไปแต่กลายเป็นพลังงานไร้ลักษณ์ท่วมท้นออก ผู้คนที่มองเห็นภาพเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งหอก ดาบ กรีฑ์และลูกศรแหลมพุ่งเข้าหาโท่วป่าเซียงราวกระแสน้ําเขียวกราก
“เคล็ดวิชาขตวายุสั้นหรือ?”
โท่วป่าเซียงอุทานออกพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียด อักขระโบราณปรากฏแจ่มชัดเจนหม้อสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนบ่า แสงส์แดงสาดส่องไปทั่วบริเวณอย่างน่าเกรงขาม
เคล็ดวิชาตวายเป็นกระบวนท่าสังหารขั้นสูงของใบมีดวายุ และมันคือเคล็ดวิชาในตํานานของสํานักเบญจลักษณ์อีกด้วย แม้แต่ในหมู่จ้าวสํานักที่สืบทอดกันมายังไม่อาจฝึกฝนได้ทุกคนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าใจมันอย่างท่องแท้ เฟิงเหรินคือบุคคลที่ยากจะรับมือและแสนดื้อรั้นไร้เหตุผล อย่างไรแล้วเขาคือหนึ่งในอาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของสํานักเบญจลักษณ์ด้วยเช่นกัน… แต่ใครจะคาดคิดว่าทํายชราผู้นี้จะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาตวายุได้
ไอ้เฒ่าสารเลวนี้กลับซ่อนเคล็ดวิชาร้ายกาจนี้ไว้
โท่วป่าเซียงทั้งโกรธและตกใจในคราวเดียว เขาคํารามลั่นพร้อมกับร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า หม้อสัมฤทธิ์ในมือถูกฟาดออกไปเต็มแรง
“ท่านจ้าวสํานัก! ขอบคุณแล้ว เรามาร่วมมือกันสังหารมันผู้นี้ให้ตายตกด้วยกันเถิด!
เยี่ยฉวนส่งเสียงร้องในทันที เขาผลักโท่วป่าเซียงเพียวออกพร้อมกับพุ่งทะยานไปด้านหน้าและเริ่มพิมพ์บางอย่าง ทันใดนั้นเองเปลวไฟภายในเตาหลอมระดับสวรรค์ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วมันกลายเป็นอสรพิษสูงใหญ่ราวสิบเมตรพุ่งเข้าหาเพิ่งเหริน
เมื่อเห็นโอกาสเช่นนี้เยี่ยฉวนจึงไม่รอชและพุ่งตัวเข้าไปโรมรันในทันที ทั้งสามคนพุ่งเข้าหากันอย่างไม่กลัวตาย
ตูม! ท้องฟ้าสั่นสะเทือนด้วยพลังมหาศาลที่ปะทะกันกลายเป็นระลอกคลื่นซัดผู้คนโดยรอบอย่างไร้ปรานี ใบหน้าของโท่วป่าเซียงพลันแดงกําพร้อมกับหายใจหอบหนัก ส่วนเยี่ยฉวนบาดเจ็บเล็กน้อยและเพิ่งเหรินคํารามลั่นพร้อมถอยร่นไปหลายก้าวด้วยความเจ็บปวด มือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและมันเริ่มสั่นอย่างไร้การควบคุม นอกจากนี้คิ้วของเขาครึ่งหนึ่งถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม…
แม้เพิ่งเห็นจะแข็งแกร่งกว่า แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานทั้งสองพร้อมกันได้
เพียงแค่โท่วป่าเซียงคนเดียวก็ยากที่จะรับมือแล้ว ในตอนนี้กลับมีเยี่ยฉวนผู้ครอบครองเตาหลอมระดับสวรรค์มาผนึกกําลัง เขากําลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
“โท่วป่าเซียงแกคิดจะทําอะไร? จะปกป้องไอ้เด็กเหลือขอนึ่งั้นหรือ?!”
เพิ่งเห็นกัดฟันแน่นพร้อมกับจับจองเยี่ยฉวนราวจะกลืนกัน จากนั้นเขาย้ายสายตาดุร้ายไปหาโท่วป่าเซียงอย่างคาดคั้น
ในครั้งนี้เขาคิดว่าตนสามารถสังหารเยี่ยฉวนเพื่อล้างแค้นให้ศิษย์คนโปรดได้ แต่ความประหลาดใจพลันเกิดขึ้นเมื่อโท่วป่าเซียงที่เป็นปฏิปักษ์กับเยี่ยฉวนยื่นมือเข้ามาขัดขวางแผนการทั้งหมดจึงผิดพลาดในทันที!
“แล้วเจ้าเกี่ยวใดด้วยหากข้าคิดปกป้อง?”
โท่วป่าเซียงตอบกลับอย่างเอาแต่ใจ ไม่ว่าอย่างไรเฟิงเห็นคือผู้ฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเตที่มีศักดิ์ศรีทัตเทียม แต่เขากลับไม่คิดจะให้เกียรติอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เจ้า
เฟิงเหรินโกรธจัด เขาก้าวออกมาพร้อมกับลมกรรโชกปรากฏขึ้นรอบกายอีกครั้ง จิตสังหารแผ่กระจายออกอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด
ขณะนั้นมีเสียงดังถึงก้องมาจากส่วนลึกของใต้ดิน ทําให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งพื้นที่
ศิษย์ของทั้งสามสํานักหันไปพร้อมกัน พวกเขาเห็นพระราชวังค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากหมอกทึบสีเทาพร้อมกับมีป้ายขนาดใหญ่เขียนอักษรจีนสามคํา วังจ้าวเทียน มันเปล่งประกายสีทองชัดเจนเด่นสง่า ยิ่งไปกว่านั้นหมอกที่บในตอนแรกค่อยๆ จางลงจนเผยให้เห็นประตูอันโอ่อ่างดงามวิจิตร ทั้งสองด้านของประตูมีผู้พิทักษ์อสรพิษปีศาจยืนตระหง่านอยู่ กรงเล็บแหลมคมถูกกําไว้แน่น ดวงตาสองข้างปิดสนิท ร่างกายส่วนล่างขดอยู่บนพื้นแต่ศีรษะกับเชิดหน้าขึ้นสูง เมื่อมองดูแล้วให้ความรู้สึกว่าหากพวกมันลืมตาคงพุ่งทะยานเข้าหาศัตรูเป็นแน่
“เส้นทางสู่พระราชวังเปิดแล้ว! นั่นพระราชวัง!”
“วังจ้าวเทียน…มันคือวังจ้าวเทียนแห่งอาณาจักรสวรรค์งั้นหรือ?”
ความโกลาหลพลันเกิดขึ้นในสามสํานักอย่างรวดเร็ว ทุกคนจับจ้องพระราชวังที่ผุดโผล่ขึ้นมาอย่างไม่วางตา เพิ่งเห็นก็เช่นกัน เขาพึมพําบางอย่างจนลืมเยี่ยฉวนที่อยู่ตรงหน้าไปเสียสนิท
ทุกคนที่มุ่งหน้าเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์แห่งนี้ได้เผชิญหน้ากับภยันอัตรายมากมายเพื่อครอบครองสมบัติล้ําค่า ในที่แห่งนี้ทั้งความขัดแย้ง ความขุ่นเคืองและการต่อสู้ระหว่างทุกคนล้วนแต่เป็นเรื่องรองลงมา…
“ศิษย์แห่งสํานักเครื่องนี้ลทุกคนจงฟังคําสั่งข้า! เข้าไปในพระราชวังตรงหน้านี้ซะแล้วตามหาโช้คข์ะตาของตนให้พบ แยกย้ายได้!”
โท่วป่าเซียงตะโกนลั่นพร้อมกับมุ่งหน้าเข้าสู่พระราชวังจ้าวเทียนไปกับหม้อสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่บนบ่า ทว่าแม้เคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงใดก็ยังพ่ายแพ้ต่อขยร่างเล็กเพรียวลม อาวุโสเป็นเหรินพุ่งทะยานไปด้านหน้าจนแข็งโท่วป่าเซียงไปอย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้นศิษย์ของสํานักเบญจลักษณ์ก็พุ่งตามหลังเขาไปติดๆ เช่นกัน