ดาวน้อยดูดีใจ มันยื่นลิ้นออกมาและกลืนทรายดาราจักรเข้าไปทั้งอัน ดาวน้อยไม่แม้แต่จะเสียเวลาเคี้ยวก่อนที่จะกลืนลงไป
“คนอื่นๆอาจจะคิดว่านายเป็นหมูตะกละ อย่างน้อยนายก็ควรจะลองลิ้มรสของมันก่อน” หานเซิ่นพูด
แต่ดาวน้อยไม่ฟังที่หานเซิ่นพูด ตัวของมันเริ่มจะส่องแสงออกมาจนกระทั่งมีออร่าประหลาดระเบิดออกมาจากตัวของมัน
“หยุด! หยุด! อย่าสร้างชุดเกราะจีโนขึ้นมาที่นี่” หานเซิ่นตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าทรายดาราจักรแค่เม็ดเดียวจะทำให้ดาวน้อยสร้างชุดเกราะจีโนในทันทีแบบนี้
แต่ดาวน้อยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงรีบพามันไปที่ดาวอุปราคา
ดาวน้อยส่องสว่างขึ้นมาด้วยแสงแห่งดวงดาว หลังจากนั้นมันก็สร้างชุดเกราะที่เต็มไปด้วยดวงดาวขึ้นมา แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น ชุดเกราะดวงดาวเริ่มละลายและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของมัน
ดาวน้อยวิวัฒนาการเป็นซีโน่เจเนอิค แสงดาวของมันสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้มันดูเหมือนกับอสูรที่ถูกปกคลุมด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน
เมื่อการวิวัฒนาการสิ้นสุดลง มันก็ถูหัวของมันกับหานเซิ่น ก่อนที่จะจ้องไปที่กล่องบรรจุทรายดาราจักร
หานเซิ่นนำกล่องไปซ่อนเอาไว้ด้านหลัง แต่ดาวน้อยก็จ้องมองหานเซิ่นด้วยสายตาอ้อนวอน
“ฉันจะให้นายได้อีกแค่เม็ดเดียวเท่านั้น” หานเซิ่นรู้สึกแย่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมต่อสายตาที่อ้อนวอนของมัน
ดาวน้อยเลียหานเซิ่นและกลืนเม็ดทรายดาราจักรเข้าไป
ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือหลังจากที่กินเข้าไปแล้ว ดาวน้อยก็เริ่มจะวิวัฒนาการอีกครั้งหนึ่งและกลายเป็นไวเคานต์
“ว้าว! ทรายดาราจักรนี้ดีขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?” หานเซิ่นกัดฟันและตัดสินใจให้ดาวน้อยอีกเม็ดหนึ่ง เขาต้องการดูว่ามันจะวิวัฒนาการอีกไหม ถ้ามันสามารถวิวัฒนาการได้ทุกครั้งหลังจากที่กินทรายดาราจักรเข้าไปหนึ่งเม็ด มันก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ
แต่ความหวังของหานเซิ่นไม่เป็นจริง หลังจากที่ดาวน้อยกลืนเม็ดทรายดาราจักรเม็ดที่ 3 เข้าไป มันไม่ได้วิวัฒนาการ แสงดาวของมันสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็แค่นั้น
ดาวน้อยมองมาที่หานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่อยากมอบให้มันไปมากกว่านั้น เขาเรียกนางฟ้า ซีโร่ หานเมิ่งเอ๋อและสปิริตเชฟมา หลังจากนั้นเขาก็มอบทรายดาราจักรให้พวกเขาคนละเม็ด
แต่หลังจากที่พวกเขากลืนทรายดาราจักรเข้าไป มันก็ไม่มีใครที่วิวัฒนาการ ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ
สปิริตเชฟพูด “ทรายดาราจักรนี้มีพลังงานมหาศาลก็จริง แต่พวกเรามีธาตุที่ต่างออกไป มันจึงยากที่จะวิวัฒนาการได้”
คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับสปิริตเชฟ พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอ
หานเซิ่นตัดสินใจลองกินมันเข้าไปด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทรายดาราจักรก็ย่อยสลายกลายเป็นของเหลวภายในตัวของเขา พลังงานอันมหาศาลของมันไหลอยู่ภายในร่างกายของเขาราวกับแม่น้ำ
หานเซิ่นรีบใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับพลังงานของทรายดาราจักร
เรื่องราวของยีนสามารถเข้ากันได้กับพลังงานของทรายดาราจักร และหานเซิ่นก็ไม่มีได้ปัญหาอะไรกับการที่มันเป็นมีธาตุที่ต่างออกไป เขาสามารถใช้พลังงานของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พลังงานของทรายดาราจักรนั้นมหาศาล ดังนั้นมันจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่หานเซิ่นจะดูดซับพลังงานได้ทั้งหมด เขามอบทรายดาราจักรให้กับจิ้งจอกสีเงิน แต่มันเป็นระดับไวเคานต์เรียบร้อยแล้ว มันจึงไม่ได้ผลดีเท่าไหร่นัก
โชคดีที่ดาวน้อยเป็นซีโน่เจเนอิค ดังนั้นถ้าคนอื่นๆถามว่ามันมาจากไหน หานเซิ่นก็แค่ต้องบอกไปว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิคที่อาศัยอยู่บนดาวอุปราคา
ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่บนดาวอุปราคาก็มีซีโน่เจเนอิคอยู่จำนวนมาก ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
หานเซิ่นนำทรายดาราจักรกลับไปที่สหพันธ์ และเขาก็เริ่มใช้มันวันละหนึ่งเม็ด เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกวิชาและอยู่กับครอบครัว
หานเซิ่นคิดว่าเนื่องจากมีทรายดาราจักรอยู่จำนวนมาก ดังนั้นมันก็ควรจะทำให้เขาวิวัฒนาการไปเป็นเอิร์ลได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่หลังจากที่กินไปได้ครึ่งหนึ่ง มันก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะเพิ่มระดับขึ้นเลยสักนิด
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจป้อนมันให้กับดาวน้อยอีกนิดหน่อย หลังจากที่ดาวน้อยได้กินมันเข้าไปอีก 10 เม็ด ในที่สุดมันก็วิวัฒนาการไปเป็นระดับเอิร์ล
“มันช่างต่างกันซะจริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่
เขารู้ว่าธาตุของดาวน้อยเข้ากันได้ดีกับทรายดาราจักร แต่มันก็เป็นอะไรที่ง่ายกว่ามากจริงๆที่ดาวน้อยจะเพิ่มระดับขึ้น
หานเซิ่นกินทรายดาราจักรที่เหลือเข้าไปด้วยตัวเอง และเมื่อกินมันจนหมด เขาก็รู้สึกได้ว่าใกล้จะเพิ่มระดับขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจำเป็นต้องผลักดันอีกนิดถึงจะสามารถพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้
“ด้วยทรายดาราจักรตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าเรามอบพวกมันทั้งหมดให้กับดาวน้อย มันก็อาจจะกลายเป็นมาร์ควิสเลยก็ได้”
หานเซิ่นรู้สึกแย่กับการตัดสินใจ แต่ช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ร่วมกับลูกสาวและภรรยาเป็นอะไรที่คุ้มค่า เพราะหานเซิ่นไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งนั้น
ในที่สุดอี๋ซาก็ส่งข้อความมาที่ฐานทัพเพื่อเรียกหานเซิ่นไปพบที่ดาวเบลด
เมื่อหานเซิ่นไปยืนอยู่ตรงหน้าของอี๋ซา เธอก็ได้เห็นว่าหานเซิ่นกลับคืนร่างมนุษย์ได้แล้ว ซึ่งเธอดูตกใจอย่างมาก
“เจ้ากลับคืนร่างเดิมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” อี๋ซาถามหานเซิ่น
“ข้าฝึกเรื่องราวของยีนทุกๆวัน และในเวลา 2 เดือน ข้าก็กลับสู่สภาพเดิมได้สำเร็จ แต่ข้ากลัวว่ามันอาจจะยังมีผลข้างเคียงหลงเหลืออยู่ ดังนั้นข้าจึงฝึกต่อจนกระทั่งแน่ใจว่าจะไม่กลับกลายเป็นมดก่อนที่ข้าจะมาบอกกับท่านราชินี” หานเซิ่นได้เตรียมคำพูดเอาไว้ก่อนแล้ว
อี๋ซาพยักหน้าและพูด “ข้าได้เตรียมแผนที่จะช่วยเหลือเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ข้าก็คิดว่ามันคงไม่จำเป็นอีก แต่อย่าเพิ่งไปบอกใครว่าเจ้าหายดีแล้ว”
“รับทราบแล้ว” หานเซิ่นรีบตอบ
หลังจากเงียบอยู่ชั่วครู่ อี๋ซาก็พูดต่อ “มันมีสายลับอยู่บนดาวอุปราคามากเกินไป ดังนั้นอย่าเพิ่งกลับไปที่นั่น ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่ปราสาทนภาสักระยะหนึ่ง”
“ปราสาทนภา?” หานเซิ่นประหลาดใจ
หานเซิ่นเคยได้ยินเชื่อนี้มาก่อน ในตอนที่ศาสดาเปิดประตูของก็อตแซงชัวรี่ออกเพื่อให้ซีโน่เจเนอิคเข้าไปในสหพันธ์ ในตอนนั้นมีพลังประหลาดดึงหานเซิ่นและเสี่ยวฮวาเข้าไปข้างใน และที่นั่นหานเซิ่นก็ได้พบกับชายคนหนึ่งที่พูดว่าตัวเองเป็นราชาของปราสาทนภา
เสี่ยวฮวาเกือบจะถูกพาตัวไปโดยชายคนนั้น โชคดีที่หานเซิ่นถูกช่วยเอาไว้ได้ทันโดยการกระทำของกู่ชิงเฉิง
อี๋ซาพูดต่อ “ราชาของปราสาทนภาเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า เขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อาวุโสของข้า ข้าเองก็เคยไปฝึกฝนที่ปราสาทนภาเช่นเดียวกัน ซึ่งวิชากว่าครึ่งที่ข้าสอนให้กับเจ้า ข้าก็ได้มาจากเขา ข้าได้แจ้งเขาไปแล้วว่าเจ้าจะเดินทางไป ดังนั้นเขาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
“แต่ท่านราชินี ข้าต้องการจะฝึกฝนในที่ที่ใกล้ชิดกับท่าน” หานเซิ่นดูจริงใจขณะที่จ้องมองไปที่อี๋ซา
ราชาของปราสาทนภาเคยเห็นหานเซิ่นมาก่อน ซึ่งถ้าเขาจำหานเซิ่นได้ล่ะก็ สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา
“เจ้าต้องออกเดินทางพรุ่งนี้” เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาไม่ได้คิดจะต่อรองอะไรทั้งนั้น