Super God Gene – ตอนที่ 1966

ทุกคนได้รู้เรื่องที่กระเรียนพันขนเป็นคนแบกหานเซิ่นเข้ามาในปราสาทนภา

 

นี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หานเซิ่นเกือบจะหมดสติไปในตอนที่ถูกพาเข้ามาข้างใน และกระเรียนพันขนก็ต้องแบกหานเซิ่นต่อไปจนกระทั่งเข้าไปพบผู้นำของปราสาทนภา

 

หานเซิ่นหมดสติไปจากความเหนื่อยล้า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นว่าผู้นำของปราสาทนภาหน้าตาเป็นยังไง

 

บางสิ่งที่แปลกประหลาดแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นที่พูดถึงกันมากในปราสาทนภา

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านผู้เฒ่าได้เห็นใครบางคนถูกแบกเข้ามา ข้าได้ยินว่าเคราของเขาบิดงอด้วยความประหลาดใจ”

 

“เขาเดินบนถนนสู่ท้องฟ้าด้วยสภาพแบบนั้นได้ยังไง? เขาเป็นคนที่แปลกจริงๆ”

 

“แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง ท่านผู้เฒ่าก็ยังยอมรับเขาเข้ามา แถมท่านผู้เฒ่ายังมอบสิทธิ์ในการเข้าไปในสถานหยกขาวให้กับเขาอีกด้วย เขาโชคดีที่ได้เป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด”

 

“เจ้าพูดถูก ท่านผู้เฒ่านับถือราชินีแห่งมีด แต่นางก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ ท่านผู้เฒ่าปฏิบัติกับนางเหมือนกับลูกศิษย์จริงๆ มันจึงเป็นอะไรที่น่าแปลกที่นางรับคนแบบนั้นมาเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง”

 

หานเซิ่นหลับไป 1 วันเต็มๆ หลังจากที่เขาได้พักฟื้นเต็มที่ ความรู้สึกหนักอึ้งก็หายไปหมดแล้ว

 

หลังจากที่ตื่นขึ้นมา หานเซิ่นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ในห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรพิเศษ มันเป็นห้องที่มีหนึ่งเตียงหยก หนึ่งโต๊ะหินและเก้าอี้อีก 4 ตัว

 

หานเซิ่นลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเพื่อขจัดความเมื่อยล้า ตอนนี้หานเซิ่นยังไม่สามารถคิดวิธีที่จะทำให้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนกลายเป็นสิ่งที่มีรูปธรรมได้ แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญจากการยอมรับแรงกดดันนั้น

 

ในตอนที่หานเซิ่นได้รับแรงกดดันจากไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก เขาได้ใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนจำลองการทำงานของมัน และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถปลดมันออกไปได้

 

ตั้งแต่นั้นมาหานเซิ่นก็มักจะเล่นกับมันอยู่บ่อยๆ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อศึกษามัน แต่พลังของมันเป็นอะไรที่ซับซ้อน มันจึงยากที่เขาจะเรียนรู้การทำงานของมันได้

 

แต่ในตอนที่แรงกดดันของปราสาทนภาเข้ามาในร่างกาย หานเซิ่นรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก

 

ปราสาทนภาส่งความรู้สึกโดยไม่ได้ใช้อะไรที่เป็นรูปธรรม ส่วนเวทย์มนต์เต่าหยกก็มีกระแสพลังที่ยากจะเข้าใจได้ เมื่อนำทั้ง 2 อย่างมาเปรียบเทียบกัน มันก็ทำให้หานเซิ่นมีไอเดียใหม่ๆ

 

หานเซิ่นนำไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกขึ้นมาและใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนจำลองพลังของมัน เขาพยายามจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันเพื่อยืนยันทฤษฎีที่เพิ่งจะคิดขึ้นมา

 

หานเซิ่นนั่งลงบนเตียงหยกขณะที่มองไปที่ไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก เขาพบว่าเวทย์มนต์เต่าหยกอ่อนพลังลงไปมาก มันเคยที่จะดูเหมือนกับหยก แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับก้อนหิน

 

2 วันต่อมาจู่ๆไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกก็แตกร้าวและกลายเป็นผุยผง หานเซิ่นรู้สึกตกใจเมื่อเห็นอย่างนั้น แต่เขาก็รู้สึกดีใจเพราะเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย

 

หานเซิ่นได้หายตัวไป 2-3 วัน และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งปราสาท ผู้คนเชื่อว่าหานเซิ่นยังคงหมดสติอยู่ ถึงแม้เขาเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน แต่หานเซิ่นก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว

 

ศิษย์หลายคนในปราสาทนภาต่างก็รู้สึกสงสัย พวกเขาต้องการจะรู้ว่าหานเซิ่นเป็นคนแบบไหนกันแน่

 

เมื่อหานเซิ่นออกจากบ้านหิน เขาก็สังเกตเห็นว่าตัวเองยืนอยู่บนเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง แต่มันดูเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่มากกว่าเกาะลอยฟ้า นอกจากตัวบ้านแล้ว พื้นที่รอบๆตัวเขาก็มีความกว้างประมานครึ่งหนึ่งของสนามบาสเท่านั้นเอง

 

บนเกาะเล็กๆมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันเป็นต้นไม้ชนิดไหนกันแน่ แต่มันดูใกล้จะตายแล้ว และมันก็ถูกปกคลุมด้วยรอยไหม้เกรียม ใบไม้ทั้งหมดเป็นสีเหลืองและดูพร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ

 

หานเซิ่นมองไปรอบๆ เกาะที่เขาอยู่มีขนาดเล็ก แต่มันก็อยู่ใกล้กับเกาะหลักมากๆ จริงๆแล้วมันเป็นเกาะที่อยู่ใกล้กับเกาะหลักมากที่สุด

 

ขณะที่หานเซิ่นมองไปรอบๆ เขาก็ได้ยินเสียงของนกตัวหนึ่ง ชายที่ดูสง่างามคนหนึ่งขี่นกสีขาวตัวใหญ่บินลงที่เกาะของเขา

 

“ขอบคุณที่ช่วยแบกข้าขึ้นไปยังปราสาทนภา” หานเซิ่นพูดอย่างจริงใจ

 

ถึงเขาจะใช้สมาธิไปกับความรู้สึกที่ถูกกดดัน แต่เขาก็ยังจดจำคนที่แบกเขาขึ้นไปที่ปราสาทนภาได้ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ เขาก็คงจะถูกบดขยี้อยู่บนบันไดนั้น

 

กระเรียนพันขนส่ายหัวและพูด “การพาเจ้าขึ้นไปยังปราสาทนภาเป็นหน้าที่ของข้า ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณข้า”

 

หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็นำแผ่นจารึกออกมาและพูด “นี่คือแผ่นจารึกประจำตัวของปราสาทนภา มันจะทำให้คนอื่นรู้ถึงระดับอำนาจและสิทธิ์ที่เจ้ามีภายในปราสาทนภา เจ้าอย่าได้ทำมันหายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกลงโทษ”

 

“ที่ปราสาทนภามีแผ่นศิลาที่จารึกกฎระเบียบเอาไว้ เจ้าควรจะไปดูมันเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เผลอไปทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว” กระเรียนพันขนพูด

 

“ขอบคุณที่บอก ตอนนี้ข้าต้องไปเข้าพบผู้นำของปราสาทนภาแล้วใช่ไหม?” หานเซิ่นรับแผ่นศิลามา

 

“ท่านผู้นำได้เห็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องไปพบกับเขาอีก และท่านก็ได้อนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสถานหยกขาวได้”

 

“สถานหยกขาวคืออะไร?” หานเซิ่นถาม

 

“สถานหยกขาวนั้นมี 12 หลัง 5 เมือง มันเป็นสถานที่สำหรับฝึกวิชา เพียงแค่ได้รับอนุญาตให้เขาไปก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างตั้งใจที่นั่นและอย่าได้เสียโอกาสอันล้ำค่านี้ไป”

กระเรียนพันขนพูด หลังจากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนนกสีขาวและเตรียมจะจากไป

 

“กระเรียนพันขน เจ้ากำลังจะไปไหน?” หานเซิ่นรีบถาม

 

“ข้ากำลังจะไปฝึกในสถานหยกขาว!” กระเรียนพันขนตอบ

 

“เยี่ยม! ข้าไม่รู้ทางไปที่นั่น เจ้าช่วยพาข้าไปด้วยได้ไหม?” หานเซิ่นพูดขณะที่ขึ้นไปหลังบนหลังของนก

 

กระเรียนพันขนดูหดหู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาสั่งให้นกสีขาวตัวใหญ่บินออกไป

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset