Super God Gene – ตอนที่ 1967

หานเซิ่นนั่งอยู่บนหลังนกสีขาวของกระเรียนพันขน ขณะที่ชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบๆ และหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง นกสีขาวก็ล่อนลงบนเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นตั้งอยู่ในหมู่เมฆ ทำให้ทัศน์วิสัยของพวกเขาถูกบดบังเล็กน้อย แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็คือ 12 หอคอยหยกท่ามกลางหมู่เมฆ

 

นกสีขาวบินลงไปที่เกาะ หลังจากนั้นกระเรียนพันขนและหานเซิ่นก็ลงจากหลังของมัน เขาสังเกตว่าทั้งเกาะถูกสร้างขึ้นจากหยก แต่มันดูไม่เหมือนกับว่าถูกสร้างด้วยมือคน

 

กระเรียนพันขนเดินตรงเข้าไปที่สถานหยกขาว เมื่อหานเซิ่นหันไปมองทางนั้น เขาก็เห็นแสงส่องสว่างแวววาวออกมา เขาแทบจะไม่สามารถมองเห็นหอคอย 12 ชั้นในตอนที่อยู่บนอากาศ แต่เมื่อเขาลงมายืนบนเกาะ ทั้งหมดที่เขามองเห็นก็คือหอคอยหลังแรกเท่านั้น

 

สถานหยกขาวแต่ละหลังประกอบไปด้วย 7 ชั้นด้วยกัน จากจุดที่หานเซิ่นยืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำมาจากคริสตัลถูกปกป้องด้วยแสงเหมือนกับตัวเกาะ

 

“กระเรียนพันขน ใครกันที่เป็นคนสร้างสถานหยกขาว?” หานเซิ่นถามขณะที่เดินตามเขาไป

 

กระเรียนพันขนตอบ “สถานหยกขาวนั้นมี 12 หลังและ 5 เมือง มันมีมาตั้งแต่ก่อนที่ซีโน่เจเนอิคสเปชนี้จะถูกค้นพบด้วยซ้ำ พวกมันเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา”

 

“นั่นมันมหัศจรรย์ไปเลย” หานเซิ่นรู้สึกสนใจสถานหยกขาวขึ้นมา

 

พวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาตรงหน้าหอคอย มันไม่ได้มียามเฝ้าอยู่รอบๆ กระเรียนพันขนดันประตูเปิดออกและเดินเข้าไปข้างใน

 

หานเซิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “คิดว่าสถานหยกขาวเป็นสถานที่ที่เข้าได้ยากซะอีก ทำไมไม่เห็นมีใครเฝ้าเลย? แบบนี้ไม่ว่าใครก็เข้ามาข้างในได้สิ”

 

กระเรียนพันขนหันมาพูดกับหานเซิ่น “นี่เจ้าไม่เห็นอสูรหยกทั้ง 2 ที่อยู่นอกประตูหรือยังไง? ที่เจ้าเข้ามาได้นั้นเป็นเพราะเจ้ามีแผ่นศิลานั่นอยู่ ถ้าเจ้าไม่มีมัน เจ้าก็คงจะถูกกินทั้งเป็นไปแล้ว”

 

“อย่างนี้นี่เอง” หานเซิ่นจำได้ว่าเห็นอสูรหยกที่สูงกว่า 3 เมตรคู่หนึ่งตรงหน้าประตู พวกมันดูเหมือนกับกิเลน ซึ่งในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าพวกมันเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่จริงๆแล้วพวกมันมีชีวิต

 

กระเรียนพันขนไม่ได้พูดอะไรอีกและเริ่มเดินต่อไป

 

หานเซิ่นมองรอบๆหอคอยและสังเกตเห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรอยู่ข้างใน มันมีเพียงแค่บันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นที่ 2

 

หานเซิ่นเห็นว่ากระเรียนพันขนเดินขึ้นบันไดไป ดังนั้นเขาจึงตามไปด้วย

 

ชั้นที่ 2 ก็เหมือนกับชั้นก่อนหน้า มันว่างเปล่าไม่มีอะไร มันมีเพียงแค่บันไดที่จะนำไปสู่ชั้นที่ 3 หานเซิ่นคิดว่ามันแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงถาม

“ทำไมมันไม่มีอะไรอยู่ในหอคอยนี้เลย? การฝึกที่นี่มีประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรอ?”

 

กระเรียนพันขนเดินไปที่บันไดของชั้นต่อไปและพูด

“มันยังไม่ถึงเวลาที่สถานหยกขาวจะเปิดออก นั่นเป็นเหตุผลที่มันไม่มีอะไรอยู่ที่นี่ หอคอยแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน ยิ่งเจ้าขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มันก็จะมีลมปราณหยกมากเท่านั้น เจ้าเป็นไวเคานต์ ดังนั้นเจ้าควรจะเริ่มฝีกที่ชั้นที่ 3 และถ้าเจ้าทนต่อลมปราณหยกของชั้นนี้ได้ เจ้าก็จะขึ้นไปชั้นต่อไปได้”

 

หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็เดินขึ้นไปชั้นที่ 3 ซึ่งหานเซิ่นก็เดินตามเขาไป

 

บนชั้นที่ 3 มีคนหนุ่มหลายคนกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ แต่ไม่มีใครพูดคุยอะไรกัน

 

เมื่อพวกเขาเห็นกระเรียนพันขน พวกเขาก็ยืนขึ้นและพูด “คารวะศิษย์พี่กระเรียน”

 

กระเรียนพันขนพยักหน้าและเดินขึ้นไปชั้นที่ 4

 

คนอื่นๆหันมามองหานเซิ่นด้วยความสงสัยราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นใช่ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่หรือเปล่า

 

แต่ทว่าหนึ่งในพวกเขารู้จักหานเซิ่น ซึ่งก็คือหญิงสาวที่อยู่กับชายวัยกลางคนในสุดสีเทา ชื่อของเธอคือยวิ๋นซู่อี

 

เธอนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของหอคอย ขณะที่มองมาที่หานเซิ่นพร้อมกับคิด

‘หลังจากที่ถูกแบกขึ้นไปในปราสาทนภาแบบนั้น นี่เขายังกล้ามาที่นี่อีกอย่างนั้นหรอ?’

 

คนหนุ่มหลายคนสนใจในตัวของหานเซิ่น เพราะมันมีคนนอกไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสถานหยกขาว

 

คนหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหานเซิ่นและพูด “ชื่อของข้าคือยวิ๋นเฟย ข้าเป็นลูกศิษย์ของหนึ่งในเก้าอาสนะ เจ้าล่ะเป็นศิษย์ของใครกัน?”

 

“ข้าไม่ใช่ศิษย์ของปราสาทนภา อาจารย์ของข้าคือราชินีแห่งมีด” หานเซิ่นพูด

 

“เจ้าคือคนที่ถูกแบกขึ้นมาอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นเฟยตะโกนด้วยความแปลกใจ

 

คนอื่นๆเริ่มหันมามองหานเซิ่นราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ป่าในสวนสัตว์

 

“ใช่แล้ว ข้าคือหานเซิ่นคนนั้น” หานเซิ่นยักไหล่ เขาไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเขา

 

“เจ้าสุดยอดไปเลย ตั้งแต่ที่เผ่านภาครอบครองที่นี่ เจ้าเป็นคนแรกที่ถูกแบกขึ้นมา เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?” ยวิ๋นเฟยหัวเราะขณะที่ตบไหล่ของหานเซิ่น

 

“ข้ากลัวว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะ มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องอิจฉา” หานเซิ่นหัวเราะ

 

ยวิ๋นเฟยและคนอื่นๆเห็นว่าหานเซิ่นเป็นคนอารมณ์ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันอยู่สักพัก

 

มีเพียงแค่ยอดฝีมือของเผ่านภาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสถานหยกขาว ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน

 

แต่ยวิ๋นซู่อีเพียงแค่มองจากระยะไกลเท่านั้น เมื่อเห็นหานเซิ่นพูดคุยกับคนอื่น เธอก็คิดกับตัวเอง ‘เขาก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดี แต่จิตใจของเขาอ่อนแอ ทำไมราชินีแห่งมีดถึงได้ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์? แถมเขาก็ไม่ใช่คนของรีเบทด้วยซ้ำ’

 

หลังจากที่พูดคุยกันไปได้สักพัก จู่ๆยวิ๋นเฟยก็พูดขึ้นมา “ดูเหมือนจะหมดเวลาแล้ว พวกเราไว้ค่อยคุยกันต่อทีหลัง”

 

หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มกลับไปนั่งประจำที่

 

หานเซิ่นรู้ว่าสถานหยกขาวกำลังจะเปิด ดังนั้นเขาจึงหาที่นั่งลงเช่นเดียวกัน

 

หอคอยหยกแห่งนี้ไร้ซึ่งฝุ่นละออง พื้นของมันทำมาจากหยกที่ราบรื่นและสวยงาม เมื่อหานเซิ่นนั่งลง เขาก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น

 

ขณะที่อากาศหนาวเย็นวนเวียนรอบๆตัวหานเซิ่น หินหยกที่อยู่ตรงใจกลางของพื้นก็เริ่มจะปล่อยควันสีขาวออกมา ควันสีขาวค่อยๆขยายไปปกคลุมทุกซอกทุกมุมของหอคอย ซึ่งทุกคนก็เริ่มใช้วิชาของตัวเองเพื่อดูดซับควันสีขาวเข้าไปจนเกิดเป็นวังวนน้อยรอบๆตัวของพวกเขา

 

หานเซิ่นได้ถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานหยกขาวก่อนหน้าหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าต้องใช้วิชาจีโนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป

 

เมื่อทำอย่างนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอันหนาวเย็นที่เจาะเข้ามาในร่างกายของเขา

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset