คู่ต่อสู้ที่หิน
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น? ทำไมไผ่เดียวดายถึงมาเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วย? เขาไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น”
อวี้จิงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ ถ้ามันเป็นศิษย์ระดับเอิร์ลคนอื่น เขามั่นใจว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายชนะ
แต่ไผ่เดียวดายทำให้อวี้จิงรู้สึกสิ้นหวัง
ไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเจ็ด แต่เขาทำผิดกฎร้ายแรง เขาจึงถูกถอดจากการเป็นศิษย์และถูกจับไปขังเพื่อทรมาน
การถูกจับขังของเขาถึงจะไม่ใช่โทษตาย แต่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการตายทั้งเป็น
ไผ่เดียวดายถูกขังในความฝันที่เลวร้าย เขาจะต้องใช้ชีวิตที่แสนเศร้าอยู่ความในฝันเป็นเวลาหมื่นปี เขาถึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้
ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้น และถึงพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ การที่หัวใจต้องแตกสลายจากฝันร้ายที่ยาวนานก็เป็นอะไรที่ยากเกินกว่าจะทนได้
ไผ่เดียวดายหลับใหลอยู่ในห้องขังเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่จะตื่นขึ้นมา ซึ่งหลังจากที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ไปที่หน้าปราสาทนภาและคุกเข่าลงต่อหน้ามัน หลังจากนั้นประตูก็เปิดออก ผู้นำที่ไม่เคยรับลูกศิษย์มาเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีก็ตัดสินใจรับไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ หลังจากนั้นชีวิตที่สดใสของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เขาได้ฝึกฝนตำราไร้อักษรในระดับที่ไม่มีใครสามารถเทียบชั้นกับเขาได้
แม้แต่กระเรียนพันขนที่ได้รับพรจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับไผ่เดียวดาย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าสู้กับไผ่เดียวดายอีก แม้แต่ศิษย์ระดับมาร์ควิสและดยุกก็ไม่กล้าจะประมาทความสามารถของเขาเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารตื่นขึ้นมาหลังจากที่หลับใหลไปเพียงแค่สิบปีได้ยังไง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมา
ผู้นำของปราสาทนภาเชื่อว่าไผ่เดียวดายสามารถกลายเป็นเทพเจ้าได้ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยในความเป็นไปได้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ไผ่เดียวดายยังไปถึงระดับมาร์ควิส แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเข้าร่วมการสอบ เพราะแม้แต่ศิษย์ระดับมาร์ควิสของปราสาทนภาก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกสนใจได้ แล้วการต่อสู้กับศิษย์ระดับเอิร์ลจะทำให้เขาสนใจได้ยังไง
อวี้จิงดูขื่นขม เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย เขาคิดว่าจะได้ร่ำรวยจากการใช้ประโยชน์จากหานเซิ่น แต่ตอนนี้เขากลับกำลังจะหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีใครเคยเห็นไผ่เดียวดายต่อสู้มาก่อนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นมันไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆเขาจะมาเข้าร่วมการสอบแบบนี้
หานเซิ่นอยู่บนเกาะโอลด์ไนท์เป็นเวลา 6 วัน เขาล่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลได้ทั้งหมด 11 ตัว แต่สถานหยกขาวกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางออกจากเกาะและมุ่งหน้าไปที่นั่น และเมื่อไปถึง สิ่งที่เห็นก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกตะลึง
ครั้งก่อนหานเซิ่นมองเห็นสถานหยกขาวเพียงแค่แห่งเดียว แต่ตอนนี้มันมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนๆกันถึง 12 หอคอยอยู่บนเกาะ และที่ปลายของหอคอยในระหว่างหมู่เมฆก็มีเมืองอยู่ หานเซิ่นไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ในเมืองพวกนั้น แต่เขาสามารถเห็นเมืองทั้ง 5 ได้
ในตอนแรกหานเซิ่นไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับสถานหยกขาวพอสมควร
ศิษย์ทั่วๆไปของปราสาทนภาจะมองเห็นสถานหยกขาวแค่ 7 แห่งเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับมัน และถ้าพวกเขามองเห็นสถานหยกขาว 10 แห่ง พวกเขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ
แต่พวกเขามองเห็นสถานหยกขาวทั้ง 12 แห่ง พวกเขาก็จะเป็นที่สุดของคนในรุ่นนั้นๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งครั้งในรอบหมื่นปี
ปราสาทนภาอยู่มายาวนานหลายล้านปี แต่มันมีน้อยกว่าหนึ่งร้อยคนที่จะมองเห็นเมืองทั้ง 5 ได้
หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมองเห็นสถานหยกขาวทั้ง 12 และเมืองทั้ง 5 แต่ถึงเขาจะสับสนกับมัน เขาก็ยังเลือกจะเข้าไปฝึกบนชั้นที่ 7 ของสถานหยกขาวแห่งแรก เขาเชื่อว่าลมปราณหยกของที่นั่นเหมาะสมที่สุดสำหรับเอิร์ลคนหนึ่ง ดังนั้นหานเซิ่นจึงตั้งใจจะทำให้วิชากายหยกเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเอิร์ลซะก่อน ถึงจะไปสำรวจสถานหยกขาวขั้นต่อไป
เมื่อหานเซิ่นขึ้นไปถึงชั้นที่ 4 ยวิ๋นซู่อีก็เดินตรงเข้ามาหาเขา
“หานเซิ่น! พี่สาวของข้าและศิษย์พี่กระเรียนกำลังรอเจ้าอยู่บนชั้นที่ 7 เจ้าควรจะไปพบกับพวกเขา ถึงแม้เจ้าไม่คิดจะไปฝึกบนชั้นที่ 7 แต่เจ้าก็ควรจะขึ้นไปเพื่อพบกับพวกเขา”
“มันมีเรื่องอะไรหรอ?” หานเซิ่นถามอย่างสับสน
“ลมปราณหยกกำลังจะปะทุขึ้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นเจ้าขึ้นไปที่ 7 ก่อน และเมื่อมันสิ้นสุดลง ศิษย์พี่กระเรียนจะบอกรายละเอียดกับเจ้า” ยวิ๋นซู่อีพูด
“โอเค” หานเซิ่นพยักหน้าและเดินขึ้นไปยังชั้นที่ 7
เมื่อหานเซิ่นเดินหายไปบนบันได ยวิ๋นซู่อีก็ถอนหายใจและคิดกับตัวเอง
‘พระเจ้านั้นไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ทำไมเขาถึงต้องพบกับไผ่เดียวดายด้วย? ไผ่เดียวดายคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงได้มาเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้?’
แต่หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็คิดต่อ ‘แต่นั่นไม่เป็นไร จุดประสงค์ของเขาต่างหากที่สำคัญ ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับอันดับที่หนึ่ง ข้าก็ไม่คิดจะรังเกลียดอะไรเขา’
หานเซิ่นขึ้นไปถึงชั้นที่ 7 และที่นั่นเขาก็เห็นกระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์ แต่เขาไม่เห็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสที่เขาเจอเมื่อสัปดาห์ก่อน
เมื่อเห็นหานเซิ่น กระเรียนพันขนก็เรียกเขาเข้าไปหาและถาม
“เจ้าเข้าร่วมการสอบอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นพยักหน้าและพูด “ข้าลงชื่อไปแล้ว”
กระเรียนพันขนยิ้มแห้งๆออกมาและพูด “ข้ากลัวว่าเจ้าจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่หินซะแล้ว”
“แล้วมันจะทำไม? มันมีคนใหญ่คนโตเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
กระเรียนพันขนบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่ไผ่เดียวดายเข้าร่วมในการสอบครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวของไผ่เดียวดายให้หานเซิ่นฟัง เขายังคงบอกหานเซิ่นถึงเรื่องที่ตัวเขาเองนั้นพ่ายแพ้ให้กับไผ่เดียวดาย เขาไม่ได้ปกปิดอะไรแม้แต่น้อย
แต่ท่าทางในการพูดของกระเรียนพันขนแตกต่างจากท่าทางที่เขาบรรยายถึงศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นๆ กระเรียนพันขนพูดเหมือนกับว่าความแข็งแกร่งของไผ่เดียวดายอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นตำนาน
“บางทีเจ้าอาจจะไม่เชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ในตอนที่ข้าต่อสู้กับไผ่เดียวดาย ข้ารู้สึกราวว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตั้งแต่ไปยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ในระหว่างที่ต่อสู้กัน ข้ารู้สึกราวกับว่าเขากำลังสอนอะไรบางอย่างกับข้า ซึ่งหลังจาการต่อสู้ครั้งนั้น วิชาดาบของข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก และมันก็ทำให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้” กระเรียนพันขนพูด