ปะการังสีแดง
กระเรียนพันขนคิดจะพูดอย่างอื่นอีก แต่ลมปราณหยกเริ่มจะปะทุออกมาแล้ว พวกเขาทั้ง 4 คนจึงหันไปใช้สมาธิในการดูดซับลมปราณหยกเข้าไป
เมื่อลมปราณหยกรอบแรกสิ้นสุดลง ยวิ๋นซู่อีก็ขึ้นมาบนชั้นที่ 7 หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องการสอบและการเข้าร่วมอย่างคาดไม่ถึงของไผ่เดียวดาย
“ในรอบที่ 6 ของเจ้า เจ้าจะต้องเจอกับไผ่เดียวดายคนนั้น นั่นจะเป็นการต่อสู้ที่หินสุดๆ ข้ากังวลแทนเจ้า แต่ต้องขอยอมรับว่าข้าคาดหวังที่จะได้เห็นมัน ถ้าเจ้าคิดจะไปต่อสู้ล่ะก็ ข้าจะต้องไปดูอย่างแน่นอน” กระเรียนพันขนยิ้ม
“ข้าเห็นด้วยกับที่ศิษย์พี่กระเรียนพูด” เฟิร์สเดย์พูด
หานเซิ่นถามอย่างสงสัย “ไผ่เดียวดายทำผิดอะไรถึงได้ถูกทรมานแบบนั้น?”
หานเซิ่นรู้ว่าการถูกทรมานแบบนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกฆ่าซะอีก มันถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไผ่เดียวดายสามารถตื่นขึ้นมาได้หลังจากผ่านไป 10 ปี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฝันร้ายเป็นพลังของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า คนธรรมดาไม่มีทางจะทนต่อมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาประสบกับฝันร้ายเป็นเวลายาวนาน
“ผู้อาวุโสไม่ยอมพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเราจึงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้แค่ว่าเขาฝ่าฝืนกฎบางอย่าง” ยวิ๋นซู่ซางพูด
หลังจากที่พูดคุยกันสักพัก หานเซิ่นก็ได้ยินแต่คำว่าแข็งแกร่งและแข็งแกร่งมาก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเขา
ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้เก็บอะไรพวกนั้นไว้ในจิตใจ เขาไม่คิดว่าคนๆนั้นจะไร้เทียมทาน แต่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอนั้น เขาจำเป็นต้องต่อสู้กับชายคนนั้นถึงจะรู้ความจริง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียเวลาคิดเกี่ยวกับมันไปมากกว่านั้น
เมื่อลมปราณหยกรอบที่ 2 ใกล้จะปะทุ ยวิ๋นซู่อีก็กลับลงไปที่ชั้นที่ 4 ส่วนหานเซิ่นดูดซับลมปราณหยกอยู่บนชั้นที่ 7 เขาคิดว่าวิชากายหยกกำลังพัฒนาไปอย่างราบรื่น หานเซิ่นเชื่อว่ามันจะไปสู่ระดับเอิร์ลได้ ถ้าได้ดูดซับลมปราณหยกอีกสัก 10 รอบ
มันน่าเสียดายที่ลมปราณหยกปะทุขึ้นแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น
ซึ่งหลังจากที่นับเวลาดูแล้ว หานเซิ่นก็รู้ตัวว่ามันต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาจากไวเคานต์ไปสู่ระดับเอิร์ลในเวลาเพียง 2-3 เดือนนั้นถือว่าเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์
หลังจากที่ออกจากสถานหยกขาว หานเซิ่นก็มีแผนจะไปล่าซีโน่เจเนอิคที่เกาะโอลด์ไนท์ต่อ ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเก็บสะสมยีนให้เต็ม
มันเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นก่อนที่จะถึงการสอบ ซึ่งหานเซิ่นต้องการจะเก็บยีนระดับเอิร์ลให้เต็มก่อนที่จะถึงการสอบถ้าเป็นไปได้
ในขณะที่หานเซิ่นเตรียมจะออกเดินทางไปที่เกาะนั้น ยวิ๋นซู่อีก็เดินเข้ามาหาเขา
“หานเซิ่น เจ้ากำลังจะกลับไปที่เกาะของเจ้าอย่างนั้นหรอ?”
“ข้ากำลังจะไปที่เกาะโอลด์ไนท์เพื่อล่าซีโน่เจเนอิค” หานเซิ่นตอบ
“เจ้าพาข้าไปด้วยได้ไหม? ที่นั่นไม่ได้อันตรายอะไรเหมือนอย่างถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ข้าเชื่อว่าข้าปกป้องตัวเองได้ และข้าก็จะไม่ขอส่วนแบ่งจากเจ้าอีกด้วย ข้าแค่อยากติดตามเจ้าไปด้วยเท่านั้น” ยวิ๋นซู่อีพูด
หานเซิ่นตอบตกลง เกาะโอลด์ไนท์ไม่ได้อันตรายอะไร และถ้าเธอไม่ได้คิดที่จะขอส่วนแบ่งอะไร หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าการพาเธอไปด้วยจะเป็นเรื่องเสียหาย
เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นตอบตกลง เธอก็ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มออกมาและพูด “เกาะโอลด์ไนท์นั้นไม่อนุญาตให้สัตว์ขี่ระดับเอิร์ลเข้าไป ดังนั้นข้าจึงขี่เสือปีกหยกไปไม่ได้ ข้าขอนั่งกระเรียนหยกรัตติกาลของเจ้าไปด้วยได้ไหม?”
“ได้แน่นอน มันแข็งแกร่งพอที่จะรับน้ำหนักคน 2 คนได้ เพียงแต่มันจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง” หานเซิ่นยิ้ม
“ถึงมันจะช้าก็ไม่เป็นไร” ยวิ๋นซู่อีพูด
เมื่อกระเรียนไร้ขาเริ่มบินขึ้น หานเซิ่นก็กระโดดขึ้นบนหลังของมัน และยวิ๋นซู่อีก็ตามขึ้นไป
พื้นที่บนหลังของนกกระเรียนไร้ขานั้นมีค่อนข้างจำกัด พวกเขาจึงต้องนั่งแบบติดกัน ซึ่งนั่นทำให้ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง
หลังจากนั้นพวกเขาก็หายตัวไปในหมู่เมฆ
นกกระเรียนไร้ขาบินลึกเข้าไปในเกาะโอลด์ไนท์หลายร้อยไมล์ แต่พวกเขาก็ยังไม่เจอซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลเลยสักตัว เวลาแบบนี้มันทำให้หานเซิ่นนึกถึงหวังอวี่ฮังขึ้นมา ถ้าหวังอวี่ฮังอยู่ที่นี่ หานเซิ่นก็ไม่จำเป็นต้องออกตามหาซีโน่เจเนอิคให้เหนื่อย เพราะพวกซีโน่เจเนอิคจะมาหาพวกเขาเอง
ขณะที่พวกเขาตามหาซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล พวกเขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่ส่องแสงอยู่บนยอดของภูเขา หานเซิ่นจึงรีบไปที่นั่นพร้อมกับยวิ๋นซู่อี ภูเขานั้นคลายคลึงกับดาบที่ตั้งสูงขึ้นไป 800 เมตร และมันก็มีพืชที่เหมือนกับปะการังสีแดงขึ้นอยู่ข้างบนนั้น
แสงที่พวกเขาเห็นเป็นแสงสะท้อนของพืชพวกนี้
เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นพวกมัน เธอก็ดูแปลกใจ “นี่คือพืชซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล มันมีชื่อว่าปะการังโลหิต ซีโน่เจเนอิคนั้นหลงรักการกินพวกมัน เพราะพวกมันดีต่อการวิวัฒนาการของพวกซีโน่เจเนอิค พวกมันจะถูกกินเมื่อโตจนมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ ต้นที่อยู่บนยอดสุดนั้นสูงถึง 3 เมตร แต่มันกลับยังไม่ถูกกิน นี่มันแปลกมากๆ”
หานเซิ่นมองไปที่ปะการังสีแดงและพูด “อ้า ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงยังไม่ถูกกิน มันมีซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นซีโน่เจเนอิคตัวอื่นจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้”
“ข้าไม่เห็นซีโน่เจเนอิคที่ไหนเลย” ยวิ๋นซู่อีมองไปรอบๆ แต่เธอมองไม่เห็นอะไร
หานเซิ่นชี้ไปที่ปะการังสีแดงและพูด “ดูที่ปะการังสีแดง มันอยู่ที่นั่น”
ยวิ๋นซู่อีมองตามนิ้วของหานเซิ่นไปและเห็นกิ่งไม้ แต่มันไม่ใช่กิ่งไม้จริงๆ มันเป็นแมลงสีแดงที่พลางตัวเข้ากับปะการัง มันดูคล้ายคลึงกับตั๊กแตน มันกำลังคบเคี้ยวปะการังสีแดงอยู่
“นั่นมันตั๊กแตนโลหิตเทพ มันมีความยาวหนึ่งฟุตเท่านั้น แต่ถึงขนาดตัวของมันจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร มันก็เป็นซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลที่แข็งแกร่งมากๆ”
ขณะที่พูด สีหน้าของยวิ๋นซู่อีก็เปลี่ยนไป “ข้ารู้แล้ว! ตั๊กแตนตัวนี้เฝ้าปะการังเอาไว้ก็เพราะมันต้องการจะวิวัฒนาการ แต่มันไม่ได้จะพัฒนาไปเป็นมาร์ควิส แต่มันกำลังจะกลายพันธุ์ พวกเราควรจะฆ่ามันก่อนที่มันจะกินปะการังนั่น!”
หานเซิ่นรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขายิ้มและพูดออกมา “ถ้ามันต้องการจะกลายพันธุ์ ก็ปล่อยให้มันได้กลายพันธุ์”
ยวิ๋นซู่อีต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของหานเซิ่น เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก ถ้าหานเซิ่นบอกว่ามันไม่เป็นอะไรล่ะก็ เธอก็จะเชื่อใจเขา
ตั๊กแตนโลหิตเทพกินปะการังสีแดงเข้าไปอย่างช้าๆ พวกเขารอคอยอยู่หนึ่งชั่วโมง แต่ตั๊กแตนก็กินได้เพียงแค่ส่วนน้อยของพืชเท่านั้น แต่ทันใดนั้นร่างของมันก็เรืองแสงออกมาราวกับทับทิมที่มันเงา
“หานเซิ่น เจ้าเป็นคริสตัลไลเซอร์ แต่เจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด เจ้าคิดที่จะแต่งงานกับคริสตัลไลเซอร์หรือรีเบท?” ยวิ๋นซู่อีถามขึ้นมาเล่นๆ
“ข้ามีภรรยาอยู่แล้ว นางเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า” หานเซิ่นตอบอย่างขาดความกระตือรือร้นขณะมองไปที่เจ้าตั๊กแตน
ยวิ๋นซู่อีดูผิดหวัง เธอถามขึ้นมา “ทำไมเจ้าไม่พาภรรยาของเจ้ามาด้วย?”
“ลูกของข้ายังเด็ก นางต้องคอยดูแลพวกเขา ข้าเลยให้นางอยู่ที่บ้าน” หานเซิ่นตอบ
“เจ้ามีลูกอย่างนั้นหรอ?” ดวงตาของยวิ๋นซู่อีเบิกกว้าง
“ใช่แล้ว ข้ามีลูกสืบสายเลือด 2 คน ส่วนอีกคนเป็นลูกบุญธรรม” หานเซิ่นตอบ
หัวใจของยวิ๋นซู่อีแตกสลาย เธอพบว่าตัวเองหายใจได้ลำบาก เธอมองหานเซิ่นและถอนหายใจออกมา แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเป็นเวลานาน