ดวลวิชา
“พี่ หานเซิ่นจะชนะไหม?” มือของยวิ๋นซู่อีชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอจับไหล่ของยวิ๋นซู่ซางเอาไว้ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอ่อนแรง
“พี่ไม่รู้จริงๆ” ยวิ๋นซู่ซางพูด เธอรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถบอกอะไรได้
“เขาจะไม่ชนะ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเธอ
“ท่านพ่อ?” ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีตกใจเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใคร
กระเรียนพันขนลุกขึ้นและโค้งคำนับเขาในฐานะอาจารย์ ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาคนนี้ก็คือพ่อของยวิ๋นซู่อี เขาเป็นผู้อาวุโสสิบของปราสาทนภาและมีชื่อว่ายวิ๋นฉางคง
“พ่อจะบอกว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายแพ้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัวและพูด “พ่อแค่พูดว่าเขาจะไม่ชนะ แต่พ่อไม่ได้พูดว่าเขาจะเป็นฝ่ายแพ้”
“ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่ายังไง?” เธอรู้สึกงงกับสิ่งที่ยวิ๋นฉางคงพูด
“วิชามีดและจิตแห่งมีดของพวกเขาเป็นจุดสูงสุดที่คนธรรมดาไม่มีทางไปถึงได้ มันมีความแตกต่างเพียงแค่เล็กน้อยระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ชนะหรือแพ้ได้ ถ้านี่เป็นการต่อสู้แบบเอาชีวิตกัน มันก็จะมีหนึ่งคนที่เป็นผู้ชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่การประลองวิชาเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าใครก็มีโอกาสจะได้รับชัยชนะ” ยวิ๋นฉางคงอธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะตัดสินได้ยังไงว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ?” ยวิ๋นซู่อีถาม
“ใครจะรู้? แต่ทำไมลูกถึงอยากจะรู้ผลลัพธ์มากขนาดนั้น?” ยวิ๋นฉางคงยิ้ม
ยวิ๋นซู่อีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นและไผ่เดียวดายแยกออกจากกัน ทั้ง 2 คนไม่มีใครจู่โจม เธอมองไปที่พวกเขาอย่างกังวล เธอต้องการจะเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“ดูเหมือนว่ามีดจะตัดสินผู้ชนะไม่ได้” หานเซิ่นถอนหายใจและเก็บมีดเขี้ยวผีสิงกลับไป เขาคิดว่าวิชามีดเขี้ยวดาบนั้นใกล้เคียงกับระดับเทพเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องการจะใช้มันไล่ต้อนไผ่เดียวดายให้จนมุม แต่แผนการของเขาไม่ได้ผลเลยสักนิด
ไผ่เดียวดายยกมีดหัวใจฤดูใบไม้ผลิขึ้นตรงหน้าด้วยมือทั้ง 2 ข้างที่แบออกและโค้งคำนับ หลังจากนั้นมีดก็กลายเป็นแสงสีเขียวและพุ่งหายกลับไปที่เกาะหลัก
“เจ้ายังเก่งในด้านไหนอีก?” ไผ่เดียวดายถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
ถ้าประโยคนี้ออกมาจากคนอื่น มันอาจจะฟังดูอวดดี แต่นี่ออกมาจากไผ่เดียวดาย ซึ่งมันฟังดูเป็นอะไรที่ปกติ
ไผ่เดียวดายเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์อย่างหานเซิ่น เขาไม่มีทางเก่งแค่การใช้มีดเพียงอย่างเดียว นั่นคือเหตุผลที่ไผ่เดียวดายกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา
หานเซิ่นเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ไม่ว่าอาวุธไหนที่พวกเราใช้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะเหมือนเดิม ถ้าพวกเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตกัน การตัดสินผู้ชนะคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะทำยังไง?” ไผ่เดียวดายถาม
“ถ้าพวกเราตัดสินผู้ชนะไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เอาแบบนี้เป็นไง พวกเรามาแข่งขันกันด้วยวิชาของพวกเรา เพื่อดูว่าระหว่างพวกเราใครจะทำลายวิชาของอีกฝ่ายได้” หานเซิ่นพูด
“เอาแบบนั้นก็ได้ เจ้าเริ่มก่อนเลย” ไผ่เดียวดายพูด
หานเซิ่นไม่ลังเล เขาปล่อยแสงหยกออกไปใส่ไผ่เดียวดาย
เมื่อผู้ชมเห็นแสงหยกพุ่งเข้าไปถูกตัวของไผ่เดียวดาย พวกเขาก็รู้สึกกังวลจนต้องการจะกรีดร้องออกมา
แต่เมื่อแสงหยกไปถูกตัวของไผ่เดียวดาย มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา มันเปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์แปลกๆที่ติดอยู่บนอกของไผ่เดียวดาย
ทุกคนมองไปที่สัญลักษณ์ประหลาดนั้นโดยไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่
ไผ่เดียวดายเคลื่อนไหวร่างกายของเขาและพูด “วิชานี้เป็นวิชาลดความเร็วที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาจีโนระดับราชันเลย แต่ว่า”
“แต่อะไร?” หานเซิ่นถาม
ไผ่เดียวดายพูดต่อ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด วิชาจีโนของเจ้าใช้พลังของตำราไร้อักษรของปราสาทนภา”
หลังจากที่ไผ่เดียวดายพูดอย่างนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง หานเซิ่นเป็นคนนอก และเขาก็เคยเดินไปบนถนนสู่ท้องฟ้าเพียงแค่ครั้งเดียว แต่แล้วเขากับสามารถใช้คำที่ถูกสลักเอาไว้ในการคิดค้นเป็นวิชาจีโนใหม่ขึ้นมา มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
ทุกคนมองไปที่หานเซิ่นและรอคอยคำตอบของเขา
“ไม่เลวหนิ” หานเซิ่นพยักหน้าและยอมรับ
เมื่อเหล่าราชันทั้งหมดได้ยินหานเซิ่นยอมรับ พวกเขาก็รู้สึกตกใจ มันยากที่จะเชื่อได้
“นี่เขาไม่ได้ถูกแบกขึ้นไปเพราะว่าเดินขึ้นไปถึงปราสาทนภาไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะเขาพยายามจะเรียนรู้คำ 2 คำบนถนนสู่ท้องฟ้า และเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาน่ากลัวจริงๆ”
ศิษย์ของปราสาทนภาเริ่มพูดคุยกัน แม้แต่เหล่าราชันก็ดูประหลาดใจกับเรื่องนั้น
ถ้าคำ 2 คำนั้นเป็นอะไรที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ปราสาทนภาก็คงจะเต็มไปด้วยยอดฝีมือไปนานแล้ว
ไผ่เดียวดายพูด “ข้าฝึกฝนตำราไร้อักษร ซึ่งพลังของคำทั้ง 2 ก็มาจากตำราเล่มนั้น ดังนั้นมันจึงใช้ไม่ได้ผลกับข้า”
หลังจากนั้นร่างกายของไผ่เดียวก็สั่นไหวและวิชาเต่าของหานเซิ่นก็แตกสลายไป สัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนอกของเขาก็หายไปด้วย
“มันถึงตาของเจ้าแล้ว” หานเซิ่นยักไหล่ เขารู้อยู่แล้วว่ามันยากที่จะกักขังไผ่เดียวดายด้วยวิชาเต่า
ร่างกายของไผ่เดียวดายไม่เคลื่อนไหว แต่ดวงตาของเขาขยับ พวกมันปล่อยแสงออกไปใส่หานเซิ่น
หานเซิ่นไม่ได้หลบมันและปล่อยให้แสงนั้นเข้ามาในตัวของเขา
“นี่มันคือพลังอะไรอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่ซางถามขึ้นมา
ยวิ๋นฉางคงพูดอย่างเคร่งขรึม “มันเป็นวิชาความฝันของดรีมบีส ไผ่เดียวดายติดอยู่ในความฝันเพียงแค่ 10 ปี แต่เขาก็เรียนรู้มันได้สำเร็จ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีพอถึงขนาดจะกักขังคนๆหนึ่งได้เป็นพันปี แต่มันก็มากพอที่จะกักขังหานเซิ่นเอาไว้ในความฝันตลอดชีวิตของเขา”
ยวิ๋นซู่อีตกใจเมื่อได้ยินว่าหานเซิ่นอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
แต่เมื่อแสงนั้นเข้าไปในตัวของหานเซิ่น ดวงตาของเขาก็ยังคงกระจ่างใส มันดูไม่เหมือนว่าเขากำลังฝันอยู่
แสงบนตัวของหานเซิ่นค่อยๆหายไป และในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาและพูด
“มันถึงตาของข้าแล้วสินะ”
“เชิญลงมือ” ไผ่เดียวดายพูดอย่างเรียบง่าย
เฟิร์สเดย์สับสน “ทำไมหานเซิ่นถึงไม่ถูกกักขังในความฝัน? นี่เขามีวิชาที่แก้มันได้อย่างนั้นหรอ?”
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัวและพูด “หานเซิ่นไม่จำเป็นต้องแก้วิชาความฝันของไผ่เดียวดาย การจะกักขังอีกฝ่ายในความฝันนั้นผู้ใช้จำเป็นต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ ถึงจะทำให้อีกฝ่ายหลับใหลได้ การที่หานเซิ่นไม่เป็นอะไรนั้นก็หมายความว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าไผ่เดียวดาย ฝันร้ายที่ไผ่เดียวดายได้ประสบเป็นสิ่งที่ควรจะทำให้เขาหลับใหลเป็นหมื่นปี แต่ไผ่เดียวยังคงเติบโตขึ้นแม้จะอยู่ในความฝัน จนกระทั้งจิตใจของเขาถึงระดับที่พลังความฝันไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาได้ในเวลาเพียงแค่สิบปี”
“นั่นหมายความว่าจิตใจของหานเซิ่นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับศิษย์พี่ไผ่เดียวดายที่ประสบฝันร้ายเป็นสิบปีอย่างนั้นหรอ? เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?” เฟิร์สเดย์ถามด้วยความสงสัย
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องถามไปเขาถึงจะได้คำตอบ” ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว เขามองไปที่หานเซิ่นด้วยความชื่นชม