หนึ่งดาบปลุกปีศาจ
“ว้าว! หมอนี่มีพลังเสียงที่ทรงพลังด้วยหรอเนี่ย?” ผู้ชมต่างก็อ้าปากค้าง
ยวิ๋นซู่อีดีใจอย่างมาก เธอหันไปหายวิ๋นฉางคงและถาม
“ท่านพ่อ นี่หมายความว่าหานเซิ่นผ่านการทดสอบของไผ่เดียวดายใช่ไหม?”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” ยวิ๋นฉางคงมองไปยังตัวอักษรที่หานเซิ่นเขียน แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพลังเสียง เขาจึงไม่สามารถตัดสินอย่างแม่นยำได้
“มันถึงตาของเจ้าแล้ว” ไผ่เดียวดายมองคำที่หานเซิ่นเขียน เขาดูประหลาดใจอยู่ชั่วขณะ แต่ใบหน้าของเขาก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขาได้เรียนรู้วิชาดาบหกวิถีมาจากจักรพรรดิหกวิถี และในหมู่พวกมันก็มีดาบเสียงอยู่ มันเป็นอะไรที่โชคดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเป็นฝ่ายแพ้ไปแล้ว
วิชาดาบของหกวิถีนั้นแข็งแกร่ง พวกมันไม่ได้แย่ไปกว่าวิชาที่ถูกฝึกในจักรวาลจีโนเลย ถ้าหกวิถีเกิดในที่แห่งนี้ เขาก็คงจะนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาดาบของหกวิถี หานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ดาบจิตวิญญาณของหกวิถีจะกระตุ้นเศร้าหมองและทำลายจิตใจของคู่ต่อสู้ มันจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเศร้าโศก ซึ่งไผ่เดียวดายนั้นประสบอะไรมามาก ดังนั้นเขาจะต้องเคยรู้สึกโศกเศร้ามาก่อน ยิ่งคนๆนั้นเศร้าหมองมากเท่าไหร่ มันก็จะมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราชนะได้’
หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายและยิ้มออกมา “ข้ามีวิชาดาบอยู่วิชาหนึ่ง เจ้าอยากจะดูมันไหม?”
“เชิญ” ไผ่เดียวดายตอบ
หานเซิ่นเริ่มเคลื่อนไหว ในตอนที่เขาเรียนรู้วิชาดาบของหกวิถี เขาได้ฝึกวิถีดาบหัวใจก่อน นั่นทำให้เขาเคยชินกับวิถีดาบหัวใจอย่างมาก วิถีอื่นนั้นๆไม่สามารถเทียบได้กับความเชี่ยวชาญของเขาในวิถีนี้
หานเซิ่นประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ชี้มันออกไปที่หน้าผากของไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายไม่ได้หลบ เขายืนอย่างสงบนิ่งและมองดูการแสดงของหานเซิ่น แต่เมื่อนิ้วมือของหานเซิ่นปล่อยดาบแสงมาสู่หน้าผากของเขา สีหน้าของไผ่เดียวดายก็เปลี่ยนไป
เหล่าราชันของปราสาทสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของไผ่เดียวดาย มันทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าวิชาดาบที่หานเซิ่นใช้มีความพิเศษยังไง ถึงได้ทำให้สีหน้าของไผ่เดียวดายเปลี่ยนแปลงไปแบบนั้น
ในสายตาของคนทั่วๆไปหรือแม้แต่ราชันเอง พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่การโจมตีธรรมดาที่ดูจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“นี่คืออะไร? มันมีความแตกต่างอะไรอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีพลังพิเศษอะไรอยู่ในดาบแสงที่หานเซิ่นปล่อยออกมาเลย”
“ถ้าเจ้าเห็นมัน เจ้าก็คงจะกลายเป็นไผ่เดียวดายอีกคนแล้ว”
วินาทีต่อมา นิ้วมือของหานเซิ่นก็ไปอยู่บนหน้าผากของไผ่เดียวดาย หลังจากนั้นเขาก็ดึงมือกลับและถอยออกมายืนที่จุดเดิม
สีหน้าของไผ่เดียวดายดูย่ำแย่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงราวกับว่าเขาพยายามจะควบคุมตัวเองเอาไว้ แต่พลังอันน่ากลัวในตัวของเขากำลังหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ พลังในร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ในตัวของเขา ถึงแม้เขาจะปล่อยมันเล็ดลอดออกมาเพียงแค่นิดเดียว แต่มันก็เป็นอะไรที่ดูน่าสะพรึงกลัว
“โอ้ ไม่นะ! การโจมตีของหานเซิ่นปลุกปีศาจในตัวของไผ่เดียวดาย” ยวิ๋นฉางคงหน้าถอดสีไป
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นไม่เข้าใจ พวกเขาจึงหันไปหายวิ๋นฉางคง
ยวิ๋นฉางคงมีสีหน้าที่ซับซ้อน เขาอธิบาย “จิตใจที่ถูกทรมานของไผ่เดียวดายกำลังเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะผ่านพ้นฝันร้ายเป็นหมื่นครั้งมาได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่มีวันที่จิตใจของเขาจะรู้สึกสงบสุข มันเหมือนกับตอนที่เกิดน้ำท่วมและจำเป็นต้องสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อหยุดการไหลของน้ำเอาไว้”
“น้ำทั้งหมดยังคงถูกกักเก็บอยู่ที่เดิมและไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาพยายามหยุดความคิดเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ความโศกเศร้าที่เขาจะรู้สึกก็มากขึ้นเท่านั้น ลองจินตนาการถึงความน่ากลัวในการมีชีวิตที่เลวร้ายเป็นหมื่นชีวิตอยู่ในจิตใจดู”
“แต่ที่สุดแล้วเขาก็อดทดต่อฝันร้ายทั้งหมื่นและรอดจากความเศร้าโศกมาได้ แต่วิชาดาบของหานเซิ่นดูเหมือนจะไปกระตุ้นความเศร้าหมองของเขาให้แสดงออกมา อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นเวลาหมื่นๆปีจะถูกระเบิดออกมา มันน่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกในชีวิต อารมณ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมานี้อาจจะทำลายจิตใจของเขาได้เลย ซึ่งไผ่เดียวดายอาจจะ…” ยวิ๋นฉางคงหยุดพูด เขาดูกังวล
ไผ่เดียวดายหายใจออกมาราวกับอสูรร้าย พร้อมกับมีเส้นเลือดสีเขียวนูนขึ้นมา เขาสูญเสียความสงบก่อนหน้านี้ไปจนหมด เขาดูเหมือนกับปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกรงขัง เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้ชมหลายๆคนรู้สึกหวาดกลัวแล้ว
ไผ่เดียวดายคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในตัวของเขาระเบิดออกมา
มันปกคลุมสนามประลองด้วยความรู้สึกที่น่ากลัวจนยากจะบรรยายได้ แม้แต่ศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็สามารถรู้สึกถึงมันได้ คนที่มีจิตใจอ่อนแอเริ่มที่จะร้องไห้ออกมา พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและอยากตาย
บารอนหลายคนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกเขาชักดาบออกมาและชี้ไปที่คอของตัวเอง พวกเขารู้สึกกับว่ามันไม่มีความหวังอีก และที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ความโศกเศร้าเท่านั้น พวกเขารู้สึกราวกับว่าไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมอีกแล้ว และความตายก็คือสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ
ทันใดนั้นก็มีพลังบางประหลาดพุ่งออกมาจากปราสาทและเข้าปกคลุมสนามประลอง มันแยกไผ่เดียวดายออกจากโลกภายนอก
ผู้ชมที่กำลังจะเฉือนคอตัวเองตื่นจากหมดสะกด พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้น
ในสนามประลองไผ่เดียวดายจ้องมองหานเซิ่นด้วยใบหน้าที่ดูน่ากลัว
หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะหนักอึ้งถึงขนาดนี้ มันเกินความคาดหมายของเขามาก และเขาก็รู้สึกเสียใจที่ทำอย่างนั้นไป ถ้าไผ่เดียวดายไม่สามารถทนต่อมันได้และพยายามฆ่าตัวตาย ถึงแม้ยอดฝีมือของปราสาทนภาจะสามารถช่วยเขาเอาไว้ได้ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยจิตใจที่แตกสลาย
หานเซิ่นต้องการจะชนะก็จริง แต่เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำลายไผ่เดียวดายแบบนั้น
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว อารมณ์ที่ถูกกักเก็บเอาไว้ของไผ่เดียวดายถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งแม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้
“พ่อ มันกำลังเกิดอะไรขึ้น” ยวิ๋นซู่ซางถามด้วยเสียงที่สั่น
สีหน้าของยวิ๋นฉางคงดูหม่นหมอง เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“พรสวรรค์ของหานเซิ่นน่ากลัวเกินไป เขากระตุ้นความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายออกมาอย่างสมบูรณ์ มันทำให้ปีศาจของไผ่เดียวดายถูกปลุกขึ้นมา นี่มันจะนำไปสู่ความเป็นไปได้ 2 อย่าง หนึ่งเขาเอาชนะปีศาจในจิตใจของตัวเองได้และได้สติกลับคืนมา อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาพ่ายแพ้ให้กับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะพยายามฆ่าตัวตายหรือแม้แต่ฆ่าผู้อื่น”
“ไผ่เดียวดายจะเอาชนะปีศาจในตัวของเขาได้ไหม?” กระเรียนพันขนถาม
“ยาก!” ยวิ๋นฉางคงพูดออกมาแค่คำเดียว