Super God Gene – ตอนที่ 2001

จุดจบของการต่อสู้

ศิษย์ของปราสาทนภาอ้าปากค้าง ขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พลังของหานเซิ่นดูเหมือนจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับของไผ่เดียวดาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นเท่าเทียมกัน

 

เหล่าราชันสังเกตกระแสพลังของหานเซิ่น และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นมัน พวกเขารู้สึกเช่นเดียวกับศิษย์ของปราสาทนภา แต่พวกเขาสามารถเข้าใจได้มากกว่า

 

หานเซิ่นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับไผ่เดียวดายที่ตอนนี้กลายเป็นมาร์ควิส แต่ดูเหมือนว่ากระแสพลังของเขาไม่ได้ถูกข่มและมันก็กำลังทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ

 

ถึงแม้จิตแห่งมีดของไผ่เดียวดายจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้ถูกบดขยี้ภายใต้ความหนักหน่วงของมัน

 

พวกเขาทั้งคู่กำลังปลดปล่อยพลังเข้มข้นที่น่าสะพรึงกลัวออกมา และมันเห็นได้ชัดเจนในสายตาของทุกคน ผู้ชมที่มองดูการต่อสู้อยู่ไม่สามารถมองเห็นหานเซิ่นและไผ่เดียวดายได้อีกต่อไป มันเห็นเพียงแค่ปีศาจที่ชั่วร้ายกำลังตัวสู้กับเงาหยกสีขาว เมื่อพลังทั้ง 2 ปะทะกัน มันก็เหมือนกับกลางวันและกลางคืน ไม่มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบและก็ไม่มีฝ่ายไหนที่คิดจะถอย

 

ตูม!

 

พลังของพวกเขาทั้งคู่ถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ซึ่งในตอนนี้แม้แต่ดรีมบีสต์ก็ไม่สามารถต้านพลังของพวกเขาทั้ง 2 ได้อีกต่อไป พลังของพวกเขารั่วไหลออกมา และทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนรู้สึกราวกับว่าหัวของพวกเขากำลังจะระเบิด

 

ไผ่เดียวดายคำราม เขายกมีดเขี้ยวผีสิงขึ้นเหนือหัวด้วย 2 มือ และเตรียมที่จะฟันลงมาใส่หานเซิ่นด้วยพลังทั้งหมด

 

ยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสคนอื่นๆดูตรึงเครียด พวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่มันไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว

 

ผู้นำของปราสาทนภาถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์และเตรียมตัวที่จะเข้าไปหยุดเอาไว้

 

หานเซิ่นชี้ดาบหยกออกไปที่ไผ่เดียวดาย เขาดูไม่หวาดกลัวเลยสักนิดเดียว

 

ร่างกายของไผ่เดียวดายและมีดเขี้ยวผีสิงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เปลวไฟที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขาปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าไผ่เดียวดายกำลังจะฟันลงมา มีดเขี้ยวผีสิงก็ยืนนิ่งไป ไผ่เดียวดายมองไปที่ดาบในมือของหานเซิ่นและสีหน้าของ
เขาก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าซับซ้อน

 

บนทุ่งหญ้าอันเขียวขจี เด็กสาวตัวน้อยผมหางม้าที่อายุเพียง 9 ขวบกำลังถือดาบหยกอยู่ในมือ เธอกำลังฝึกการใช้ดาบอยู่และมันเห็นได้ชัดว่าเธอยังเป็นแค่มือใหม่ เธอพลาดตีหัวของตัวเองและล้มลงไปบนพื้น หลังจากนั้นเธอก็โยนดาบทิ้งไปและเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา

 

“หว่านเอ๋อร์ ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม เขาย่อตัวลงข้างๆเธอและลูบหัวของเธอด้วยมือที่อ่อนโยน

 

“พี่ชาย น้องจะไม่ฝึกใช้ดาบอีกต่อไปแล้ว ดาบโง่นี้มันเพิ่งจะรังแกน้อง!” หว่านเอ๋อร์พูดขณะที่เช็ดน้ำตาของเธอ

“ดาบมันจะไปรังแกน้องได้ยังไง? ดาบน้อยนี้เป็นสิ่งที่จงรักภักดีที่สุด ถ้าน้องปฏิบัติกับมันอย่างดี มันก็จะดีต่อน้องเป็นการตอบแทน” ชายหนุ่มพูดขณะที่เก็บดาบหยกขึ้นมา

 

หว่านเอ๋อร์แบะปากและพูด “น้องก็ดีกับมันแล้ว น้องเช็ดมันจนสะอาด แถมยังทำให้มันมีกลิ่นหอมอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เชื่อฟังน้องอยู่ดี มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด!”

 

ชายหนุ่มหัวเราะ เขาหยิบดาบหยกขึ้นมาและลองกวัดแกว่งมัน ดาบหยกนั้นเบาหวิวในมือของเขาและว่องไวราวกับมังกรที่กำลังเต้นระบำ

 

“หว่านเอ๋อร์ การปฏิบัติกับมันเป็นอย่างดีคือการเข้าใจมัน เพียงแค่เช็ดมันให้สะอาดนั้นยังไม่พอ” ชายหนุ่มพูดและส่งดาบหยกคืนให้กับเด็กสาว หลังจากนั้นเขาก็ลูบหัวของเธอ

 

“น้องไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว น้องเกลียดมัน มันไม่เชื่อฟังน้องเลยสักนิด มันฟังแต่พี่ชายคนเดียว” หว่านเอ๋อร์ดูโกรธ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูมีความสุข

 

ในสวนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังก้มลงอยู่ข้างๆสระน้ำและอ้วกออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

“พี่ชาย ทำไมพี่ถึงได้ดื่มมากขนาดนั้น?” หญิงสาวผมหางม้าเดินออกมาจากบ้าน เธอวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มและพยายามจะช่วยเขา

 

“ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของพี่” ชายหนุ่มพึมพา

 

“พี่ชาย ความล้มเหลวนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด น้องรู้ว่าพี่เก่งกาจ และน้องก็รู้ว่าพี่จะชนะได้ พี่อย่าเพิ่งยอมแพ้” หญิงสาวพูดจากใจจริงขณะที่พยุงชายหนุ่มขึ้นมา

 

ชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้นและสลบไป หญิงสาวพยายามดึงเขาขึ้นมา แต่เขาหนักเกินไป เธอวิ่งเข้าไปในบ้านและเอาผ้าห่มออกมาคลุมตัวของเขา หลังจากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆเขาและอธิษฐานต่อดวงดาว
“ถ้ามันมีพระเจ้าอยู่จริงๆล่ะก็ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยพี่ชายของข้าและชี้นำหนทางให้กับเขา ข้ายินดีจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น”

 

ภายใต้เสียงจันทร์ชายหนุ่มนอนน้ำตาไหลออกมาอยู่กับพื้น

 

“หว่านเอ๋อร์” ไผ่เดียวดายมองดาบหยกและขยับปากของเขา เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่ดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรหลายๆอย่าง

 

“ข้าจะตายไม่ได้… ข้าจะตายไม่ได้… ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณที่ร่อแร่… ข้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป…” ไผ่เดียวดายกัดฟัน ดวงตาของเขาดูเด็ดเดี่ยว

 

“ไผ่เดียวดายดูเหมือนจะกำลังตื่นขึ้นมา” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผู้นำของปราสาทนภาดูประหลาดใจ

 

ยวิ๋นฉางคงและเหล่าผู้อาวุโสเองก็ดูดีใจเช่นกัน แต่มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น

 

ปีศาจฝังลึกอยู่ในหัวใจของไผ่เดียวดาย ซึ่งแม้แต่เหล่าราชันก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มันถือเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ที่ไผ่เดียวดายได้สติกลับมาแบบนี้ แต่มันไม่มีหนทางที่เขาจะกำราบความต้องการจะทำลายล้างทุกสิ่งของปีศาจในหัวใจได้

 

หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอย่างประหลาดใจ ไผ่เดียวดายรู้สึกตัวขึ้นในจังหวะสุดท้าย เขายังไม่ยอมแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจ

 

ร่างกายของไผ่เดียวดายกำลังสั่นไหว เขาประสบกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ ความเศร้าโศกที่น่ากลัวและจิตแห่งมีดจางหายกลับเข้าไปในตัวของเขา

 

ทุกคนดูดีใจที่เห็นว่าไผ่เดียวดายผลักดันปีศาจกลับเข้าไปในตัวของเขาได้สำเร็จ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไผ่เดียวดายสามารถทำอย่างนั้นได้ยังไง

 

หานเซิ่นลดดาบหยกลงพร้อมกับมองไปที่ไผ่เดียวดาย พลังอันชั่วร้ายไม่ได้ปกคลุมสนามประลองอีกแล้ว

 

ไผ่เดียวดายโยนมีดเขี้ยวผีสิงกลับคืนไปให้หานเซิ่นและพูด
“ข้ากลายเป็นมาร์ควิสแล้ว ข้าไม่ควรที่จะต่อสู้ต่อไป เจ้าเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้”

 

หานเซิ่นรับมีดเขี้ยวผีสิงมาและโยนดาบหยกไปให้กับเขา

 

ไผ่เดียวดายรับดาบหยกและเก็บมันเข้าไปในฝักดาบ ดาบเล่มนั้นเป็นของที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับเขา

 

เมื่อเห็นไผ่เดียวดายเดินจากไป หานเซิ่นก็พูดกับตัวเอง “ถึงแม้ปีศาจจะเข้าครองร่างกายของเขา แต่หัวใจของเขายังมีนางฟ้าอยู่ เขาเป็นชายที่ประหลาดจริงๆ”

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความตื่นเต้นของการประลองในภาพรวม

 

หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ถึงแม้การต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนั้น

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset