หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมายจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72
วิชาผนึกมารมีรากฐานมาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อเรียนรู้พวกมัน และด้วยการทำแบบนั้น ความเชี่ยวชาญในวิชาผนึกมารของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากฝึกไปแค่ 1 ปี เขาก็สำเร็จถึงขั้นที่ 8
แต่เมื่อผู้อาวุโสมอบภารกิจใหม่ให้กับเขา ความก้าวหน้าของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ เขาได้รับภารกิจให้ไปกับจัดการกับซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสตัวหนึ่งที่ก่อปัญหาบนดวงดาวธุรกิจของปราสาทนภา มันเป็นภารกิจที่ง่ายๆและหานเซิ่นก็สามารถฆ่าซีโนเจเนอิคตัวนั้นได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นกลับถึงปราสาทนภา โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา มันเป็นหมายเลขที่ซีเหมินยงทิ้งเอาไว้ให้กับเขา
หานเซิ่นเคยลองโทรไปที่หมายเลขนี้มาก่อน แต่มันไม่มีใครตอบรับ
หานเซิ่นรับสาย มันไม่มีภาพวิดีโอ มันมีแค่เสียงเพียงแค่นั้น หานเซิ่นไม่พูดอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งเริ่มพูดขึ้นมา
“หานเซิ่น นี่ฉันเอง” เสียงที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงที่คุ้นเคย แต่มันไม่ใช่ของซีเหมินยง มันเป็นของเทพแห่งผลกรรม
“เทพแห่งผลกรรม?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าพยุหะโลหิตมีวิธีที่จะเดินทางออกมาจากก็อตแซงชัวรี่
“ใช่แล้ว ฟังฉันให้ดี ฉันมีเวลาไม่มากนัก ฉันกำลังถูกจับตามองอยู่” เทพแห่งผลกรรมพูด
“นายออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม
“พยุหะโลหิตมีหนทางที่จะออกมาเป็นเวลายาวนานแล้ว พวกเราแค่กลับเข้าไปไม่ได้”
เทพแห่งผลกรรมพูดต่อ “แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องนั้น ฟังที่ฉันพูดให้ดี อย่าบอกให้ใครรู้ว่านายฝึกวิชาโลหิตชีพจรเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นนายอาจจะเจอเข้ากับปัญหา”
“ทำไมกัน?” หานเซิ่นถาม
“เรื่องมันซับซ้อน ใครบางคนในจักรวาลจีโนกำลังตามล่าสมาชิกของพยุหะโลหิตอยู่ โชคดีที่นายไม่ได้ฝึกวิชาโลหิตชีพจรจนถึงขั้นที่เลือดเปลี่ยนเป็นสีฟ้า” เทพแห่งผลกรรมพูด
“คนที่ตามล่าสมาชิกของพยุหะโลหิตในจักรวาลจีโนคือใครกัน? มันมาจากเผ่าพันธุ์ชั้นสูงไหนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“มันไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นสูง มันเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น”
เทพแห่งผลกรรมลังเลไปชั่วครู่และเขาก็พูดต่อ “นายรู้จักสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าเทพเจ้าใช่ไหม? เทพเจ้าที่ทีมเจ็ดได้พบน่ะ?”
หานเซิ่นสะดุ้ง “หมอนั่นอยู่ในจักรวาลจีโนอย่างนั้นหรอ?”
“ใช่ แต่เขาไม่ได้ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่เหมือนอย่างพวกเรา จักรวาลนี้คือถิ่นกำเนิดของเขา แค่จำเอาไว้ให้ดีว่าอย่าให้ใครรู้ว่านายฝึกวิชาโลหิตชีพจรเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นนายก็จะตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน นายควรจะเป็นคริสตัลไลเซอร์ต่อไป อย่าได้บอกกับใครว่าจริงๆแล้วนายเป็นมนุษย์ นั่นจะเปิดเผยความจริงที่ว่านายมาจากก็อตแซงชัวรี่” เทพแห่งผลกรรมพูด
“เขาคืออะไรกันแน่?” หานเซิ่นถาม
“ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งหมดที่ฉันพอจะบอกได้ก็คือเขาน่ากลัวยิ่งกว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้า และพวกเราก็ไม่มีหวังจะต่อสู้กับเขาได้ เขาฆ่าสมาชิกของพยุหะโลหิตไปหลายคน จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ พวกเราไม่มีหวังจะโต้กลับแล้ว” เทพแห่งผลกรรมพูด
“ตอนนี้มันมีอะไรต่างออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“ยีนขั้นสุดยอด” เทพแห่งผลกรรมพูด
“นั่นหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถาม
“มีแค่คนที่เก็บยีนขั้นสุดยอดจนเต็มภายในก็อตแซงชัวรี่เท่านั้น ถึงจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตอย่างเขาได้ นั่นคือความหวังเดียวของพวกเรา จนกระทั่งนายแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ อย่าได้เปิดเผยความจริงที่ว่านายฝึกวิชาโลหิตชีพจรเป็นอันขาด” เทพแห่งผลกรรมพูด
“ถ้านายรู้เรื่องทั้งหมดนี่ ทำไมนายถึงไม่บอกฉันในตอนที่อยู่ในก็อตแซงชัวรี่?” หานเซิ่นถาม
เทพแห่งผลกรรมพูด “ฉันบอกนายแล้วยังไงว่าพวกเราแค่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ได้เท่านั้น พวกเรากลับไปไม่ได้ ฉันเพิ่งจะรู้เรื่องนี้จากสมาชิกคนอื่นหลังจากที่มาถึงที่นี่ มันไม่มีเวลาแล้ว ฉันจะติดต่อนายอีกในภายหลัง”
สายถูกตัดไปเพียงแค่นั้น หานเซิ่นวางโทรศัพท์ลงและครุ่นคิดกับตัวเอง
‘ถ้าทั้งหมดนี่เป็นความจริง คนที่เรียกตัวเองว่าเทพเจ้านี่เป็นใครกันแน่? เขาเป็นเหมือนกับราชาจุนอย่างนั้นหรอ?’
หานเซิ่นคิดอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่ได้บทสรุปอะไร ถึงยังไงซะเขาก็ไม่มีแผนที่จะเปิดเผยวิชาโลหิตชีพจรอยู่แล้ว แต่คำเตือนของเทพแห่งผลกรรมก็ทำให้เขาแน่ใจในเรื่องนั้นยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่ครุ่นคิดเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็พยายามโทรกลับไป แต่เหมือนกับก่อนหน้านี้ มันไม่มีใครตอบรับ
“สมาชิกของพยุหะโลหิตเข้ามาในจักรวาลจีโนได้เป็นเวลานานแล้ว บางทีจักรพรรดิมนุษย์อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาลจีแห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่มีชื่อเสียงอะไร พวกเขาคงจะต้องซ่อนตัวเป็นอย่างดี นี่เทพเจ้าคนนั้นทรงพลังถึงขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย
หลังจากที่หานเซิ่นรายงานเกี่ยวกับภารกิจแล้ว เขาก็ได้รับวันหยุดมา
ศาสตร์ตงเสวียนและเรื่องราวของยีนของเขายังคงไม่ถึงระดับมาร์ควิส ศาสตร์ตงเสวียนค่อยๆพัฒนาไปอย่างช้าๆ แต่เรื่องราวของยีนหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้า เขาไม่สามารถเพิ่มระดับของมันได้ นอกจากเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากปัจจัยภายนอก
หานเซิ่นได้พยายามใช้วิญญาณหยกเพื่อพัฒนาเรื่องราวของยีน แต่มันไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ซึ่งมันคงจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าที่เรื่องราวของยีนจะกลายเป็นระดับมาร์ควิส
ขณะที่หานเซิ่นพยายามคิดหาหนทางแก้ปัญญานี้ กระเรียนพันขนก็มาหาเขา พร้อมกับคำสั่งจากทางปราสาทนภา
“ท่านผู้นำบอกให้ข้าไปที่เผ่าเฟเธอร์?” หานเซิ่นมองกระเรียนพันขนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้นำของปราสาทนภารู้ถึงความบาดหมางของเฟเธอร์ต่อหานเซิ่น เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ของเขากับข่งเฟย และมันยังมีเหตุการณ์เกี่ยวกับมีดขนนกโลหิตอีก
“ใช่แล้ว ท่านผู้นำต้องการให้เจ้าเป็นทูตของปราสาทนภาเพื่อไปเยือนเผ่าเฟเธอร์ นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสระแห่งการเกิดใหม่ของโฮลี่เฮฟเว่นหรือเปล่า? ถ้าเจ้าเป็นทูตไปที่นั่น เจ้าก็จะใช้มันได้” กระเรียนพันขนพูด
“เจ้าหมายถึงสระที่แองเกียใช้เพื่อลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเรียนรู้น่ะหรอ? ข้าไม่ได้ต้องการเกิดใหม่ การทำแบบนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว