เมื่อเห็นเนตรมารถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีม่วง หานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว ในตอนที่ชาวนภาเปิดดวงตานภาของพวกเขานั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะกระโดดขึ้นไปหนึ่งขั้น ซึ่งธรรมดาพลังของเนตรมารก็อยู่เหนือระดับมาร์ควิสไปมากแล้ว และตอนนี้เมื่อดวงตานภาเปิดออก พลังของเขาก็เทียบได้กับดยุกที่แข็งแกร่งที่สุด
มันยากที่จะบอกได้ว่ามาร์ควิสคนหนึ่งมีพลังที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นได้ยังไง
ผู้ชมมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเนตรมารอีกต่อไป ทั้งหมดที่พวกเขาสัมผัสได้ก็คือเสียงเท่านั้น ร่างกายของเนตรมารหายลับไปจากตำแหน่งนั้นและไปปรากฏตัวตรงหน้าหานเซิ่นในชั่วพริบตา
เนตรมารเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่มาร์ควิสไหนจะทำได้ และมันก็ว่องไวเกินกว่าที่ผู้ชมจะมองตามได้ทัน
เมื่อเนตรมารเริ่มเคลื่อนไหว หานเซิ่นก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เขาชกหมัดออกไปข้างหน้า และเมื่อเนตรมารมาปรากฏตัวตรงหน้าของเขา หมัดของหานเซิ่นก็ปะทะเข้ากับพลังที่คู่ต่อสู้เตรียมตัวจะปลดปล่อยออกมา
หานเซิ่นชกหมัดใส่ดอกบัวสีม่วงและสลายมันกลายเป็นผุยผง
แต่ถุงมือของหานเซิ่นก็แตกกระจายและมีเลือดไหลออกมาจากผิวหนังของเขา
ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เนตรมารขมวดคิ้ว เขาประหลาดใจที่หานเซิ่นสามารถสลายพลังของเขาได้ ทั้งๆที่ตอนนี้เขามีพลังมหาศาล
พลังของเนตรมารในตอนนี้เหนือกว่าหานเซิ่นมาก แต่ท่าตบขั้นสุดยอดเพียงแค่จำเป็นต้องทำลายจุดเล็กน้อยจุดหนึ่งเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะนำไปสู่การพังทลายของโครงสร้างลำดับ ดังนั้นนอกซะจากพลังของหานเซิ่นจะไม่เพียงพอในการทำลายจุดอ่อนของโครงสร้างลำดับนั้นๆ มันก็ไม่มีเหตุผลที่ท่าตบขั้นสุดยอดจะพลาด อย่างน้อยๆตอนนี้หานเซิ่นก็สามารถทำลายโครงสร้างลำดับได้อยู่
แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับหานเซิ่นก็คือความเร็วของเนตรมาร เพราะแม้แต่หานเซิ่นเองก็ไม่สามารถมองตามการเคลื่อนไหวของเนตรมารได้ทัน เขาจำเป็นต้องใช้ศาสตร์ตงเสวียนเพื่อคาดเดาตำแหน่งที่เนตรมารจะปรากฏตัว และใช้หมากล้อมสวรรค์เพื่อโต้กลับการโจมตีของอีกฝ่าย
ถ้าหานเซิ่นรอให้เนตรมารเคลื่อนไหวก่อนที่จะตอบสนองล่ะก็ มันจะสายเกินไปในการป้องกัน เนตรมารเคลื่อนไหวรอบๆตัวหานเซิ่นราวกับภูตผี ขณะที่ดอกไม้สีม่วงแว็บวับอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่หานเซิ่นชกใส่ ดอกไม้สีม่วงดอกหนึ่งก็จะสลายไป เหล่าผู้ชมที่ดูการต่อสู้อยู่พบว่ามันยากที่จะเข้าใจได้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แน่นอนว่าหลายๆคนสังเกตเห็นว่าเนตรมารเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็นไปได้ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างดอลลาร์และเนตรมารได้เลย
“ท่านพ่อ นี่มันมีประโยชน์อะไรด้วยหรอที่พวกเขาต่อสู้กันรวดเร็วถึงขนาดนี้?” ยวิ๋นซู่อีถามด้วยความสับสน
ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจและพูด “ถ้าไผ่เดียวดายปรากฏตัวในการต่อสู้ เขาก็อาจจะเอาชนะดอลลาร์ไม่ได้อยู่ดี”
พี่น้องยวิ๋นและคนอื่นรู้สึกตกใจ เพราะไผ่เดียวดายเป็นเหมือนกับเทพเจ้าสำหรับพวกเขา
ยวิ๋นฉางคงพูดต่อ “ความเร็วและพลังของดอลลาร์ด้อยกว่าเนตรมาร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังป้องกันตัวเองได้ และมันก็ไม่ใช่ว่าเขากำลังถูกบดขยี้ แค่ความจริงในเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“ความเร็วและพลังของเขาด้อยกว่าเนตรมารอย่างนั้นหรอ? ลูกมองตามไม่ทัน ลูกเลยสันนิษฐานไปว่าพวกเขาทัดเทียมกัน” ยวิ๋นซู่อีพูดด้วยความสับสน
“ดูผิวเผินมันเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วดอลลาร์ยังเทียบชั้นกับความเร็วของเนตรมารไม่ได้ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นพลังของเขาก็ด้อยกว่าเช่นกัน” ยวิ๋นฉางคงพูด
“ถ้าอย่างนั้นทำไมมันถึงดูเหมือนกับว่าพวกเขาสูสีกันล่ะ?” ยวิ๋นซู่อีถาม
“นั่นคือสิ่งที่ทำให้ดอลลาร์น่าทึ่ง” ยวิ๋นฉางคงหยุดไปชั่วครู่
“ถึงแม้ลูกจะมองไม่เห็นมัน เนื่องจากความเร็วของการต่อสู้ แต่ดอลลาร์เคลื่อนไหว ก่อนที่เนตรมารจะโจมตี มันดูเหมือนกับว่าเขารู้ว่าเนตรมารจะทำอะไร ก่อนที่อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวซะอีก เขาจะโจมตีออกไปในตำแหน่งที่เนตรมารจะเคลื่อนที่ไป นั่นคือเหตุผลที่การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี”
พี่น้องยวิ๋นและคนอื่นๆหันความสนใจกลับไปที่การต่อสู้ และพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่กระเรียนพันขนเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกับคนอื่น
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่หาได้ในตำราไร้อักษรหรอกหรอ? หรือว่าดอลลาร์จะเป็นหนึ่งในชาวนภาที่ฝึกตำราไร้อักษร?”
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้ใช้ตำราไร้อักษร ถึงแม้มันจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่พวกมันไม่เหมือนกัน” ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว
“ถึงแม้ดอลลาร์จะคาดเดาการเคลื่อนไหวของเนตรมารได้ แต่เขารักษาความสมดุลของการต่อสู้ได้ยังไง ถ้าพลังของเขาด้อยกว่า?” ยวิ๋นซู่ซางไม่เข้าใจในเรื่องนี้
“ต้องขอยอมรับว่าข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ดอลลาร์ต้องมีวิชาบางอย่างที่ใช้ต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง” ยวิ๋นฉางคงพูด
ทุกเผ่าพันธุ์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะวิเคราะห์การต่อสู้ระหว่างดอลลาร์และเนตรมาร ในตอนแรกพวกเขาแค่ต้องการวิจัยพลังเหรียญเท่านั้น แต่ตอนนี้ความสามารถที่ดอลลาร์แสดงออกมานั้นมันเหนือกว่าที่พวกเขาคิดว่าเอาไว้ในตอนแรก
แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ดูการต่อสู้อยู่ก็รู้สึกหลงใหลในการต่อสู้นี้
การต่อสู้ด้วยพละกำลังล้วนๆจะน่าสนใจเฉพาะผู้ชมทั่วๆไป แต่การใช้เทคนิคที่ล้ำลึกในการต่อสู้เป็นบางสิ่งที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็อยากจะเห็น
ม่านตาทั้ง 4 ในดวงตานภาของเนตรมารส่องสว่างขึ้นมา และความเร็วกับพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอีก ทำให้หานเซิ่นรู้สึกลำบากในการตามพลังและความเร็วของคู่ต่อสู้
ท่าตบขั้นสุดยอดนั้นทรงพลัง ศาสตร์ตงเสวียนกับหมากล้อมสวรรค์เองก็เช่นกัน แต่เมื่อความต่างระหว่างความแข็งแกร่งมีมากเกินไป ประสิทธิภาพของพวกมันก็ลดลง
แต่ทว่าหานเซิ่นยังคงสงบนิ่ง ถึงแม้บาดแผลบนหมัดของเขาจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หมัดของเขาบาดเจ็บหนักถึงขนาดที่กระดูกเผยออกมาให้เห็นผ่านผิวหนังที่ฉีกขาด ซึ่งความเสียหายที่เขาได้รับเกิดจากการที่เขาทำลายโครงสร้างลำดับของคู่ต่อสู้
มันเหมือนกับการดึงสายเบ็ด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันสิ่งที่เรียวและแข็งแบบนั้นโดยไม่ทำร้ายมือตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจของหานเซิ่นก็ยังไม่สั่นคลอน
ภายใต้ภัยคุกคามจากเนตรมารที่เพิ่มสูงขึ้น หานเซิ่นก็ใช้งานศาสตร์ตงเสวียนเกิดขีดจำกัด และแรงกดดันนี้ก็ส่งผลให้ศาสตร์ตงเสวียนของเขาไปถึงระดับมาร์ควิส
เมื่อออร่าศาสตร์ตงเสวียนของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง กาลเวลาเองก็กลายเป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หานเซิ่นสามารถเห็นการเวลา ไม่ใช่แค่รู้สึกถึงมัน
ก่อนหน้านี้หานเซิ่นเห็นแค่การเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากำลังเห็นไทม์ไลน์
ในสายตาของคนปกติ คนหนึ่งคนกำลังเดินอยู่ มันก็เป็นแค่คนหนึ่งคน แต่ในสายตาของหานเซิ่น คนหนึ่งคนที่กำลังเดินอยู่ปรากฏเป็นภาพเงาของคนๆนั้นเดินต่อแถวติดๆกันไปเป็นทางยาว
เวลาหนึ่งวินาทีก่อนหน้า 2 วินาทีก่อนหน้า 3 วินาทีก่อนหน้า ไทม์ไลน์ขยายออกแบบ 3 มิติ และทำให้หานเซิ่นมองเห็นตัวเลือกที่เขาไม่เคยคำนึงถึงก่อนหน้านี้
ขณะที่ศาสตร์ตงเสวียนกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ไทม์ไลน์ที่เขามองเห็นก็ขยายออกไปในทุกทิศทาง