หานเซิ่นถูกรัดด้วยแสงสีม่วงที่สาดส่องมารอบตัวเขา และมันก็เป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อได้แม้แต่น้อย แต่เนื่องจากไผ่เดียวดายใช้แสงเทพในฐานะมาร์ควิสคนหนึ่ง หานเซิ่นจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายใช้มันได้เป็นเวลานาน
แต่ถึงแม้ไผ่เดียวดายจะใช้มันได้เพียงแค่หนึ่งวินาที นั่นก็มากพอแล้วที่เขาจะเอาชนะหานเซิ่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หานเซิ่นพยายามจะดิ้นรนเพื่อหลุดออกจากการรัดกุมของแสงนั่น แต่ความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว
‘เราจำเป็นต้องวิเคราะห์แสงแห่งการปิดผนึกของผีเสื้อเนตรม่วงนั่น เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องพึ่งร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดทุกครั้ง’
หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็นึกไปถึงวิญญาณอสูรที่เพิ่งจะได้มา เขาตัดสินใจตรวจเช็คมันดู
วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงระดับเทพเจ้า : สเปกทาเคิลส์
‘แว่นสเปกทาเคิลส์? แบบที่ใช้ใส่เวลาออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดขณะที่เตรียมจะเรียกวิญญาณอสูรออกมา
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที หานเซิ่นก็เกิดลังเลขึ้นมา เนื่องจากมันเป็นวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าดวงเดียวที่เขามี ซึ่งถ้าเขาใช้มันในฐานะดอลลาร์ เขาก็จะไม่สามารถใช้มันได้อีกเมื่ออยู่ในฐานะหานเซิ่น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะเปิดเผยมันต่อสาธารณชน
“แสงเทพเนตรม่วงนั้นค่อนข้างทรงพลัง แต่ในฐานะมาร์ควิส ข้าคงจะใช้มันเป็นเวลานานไม่ได้” ไผ่เดียวดายมองไปที่หานเซิ่น แต่เขายังคงไม่เคลื่อนไหว
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาเลย” หานเซิ่นตอบ ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ห่อหุ้มร่างกายของเขาและเปลี่ยนชุดเกราะสีทองของเขาให้โปร่งใส หลังจากนั้นเขาก็เริ่มก้าวเท้าผ่านแสงเทพเนตรม่วงไปราวกับว่ามันไม่มีผลอะไรต่อเขา
“แสงเทพเนตรม่วงไม่ได้ผล?” ผู้ชมอึ้งไป
ผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด พลังของเขาอยู่ในหมู่ยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลจีโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยแสงเทพสีม่วงของเขา มันอาจจะเป็นพลังปิดผนึกที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลแห่งนี้เลยก็เป็นได้ ถ้าเกิดไม่มีหนทางที่จะป้องกันหรือหลีกเสี่ยงแสงนั้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า พวกเขาก็จะถูกจำกัดการเคลื่อนไหวในทันที
ถึงแม้ไผ่เดียวดายจะยังเป็นเพียงแค่มาร์ควิส แต่ถ้าคู่ต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกัน มันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา
แต่ดอลลาร์สามารถทำลายแสงเทพเนตรม่วงได้อย่างง่ายดาย การได้เห็นอะไรแบบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ
“พลังนั่น! นั่นคือดอลลาร์ตัวจริง!” เมื่อได้เห็นหานเซิ่นใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด อี๋ซาก็โมโหขึ้นมา
เมื่อหานเซิ่นเข้าสู่โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ร่างกายของเขาก็ปลดปล่อยพลังชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดออกมา
ภายใต้แสงเทพเนตรม่วง หานเซิ่นชี้ไปที่ไผ่เดียวดาย พลังมหาศาลถูกรวบรวมไปที่ปลายนิ้วของเขา
ขณะเดียวกันไผ่เดียวดายก็เปิดดวงตานภาของเขาออก หลังจากนั้นเลือดก็ชำระล้างร่างกายของเขาราวกับคลื่นของมหาสมุทร มันย้อมทั้งร่างกายของเขาให้เปียกโชก ซึ่งรวมถึงชุดเกราะและปีกสีม่วงของเขาด้วย ตอนนี้ทั้งร่างกายของเขามีสีม่วงแดงราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในแสงสีเลือด
ไผ่เดียวดายยกนิ้วขึ้นเช่นเดียวกันและชี้มันไปที่หานเซิ่นเหมือนกับดาบ ร่างกายของเขามีสีม่วงแดง แต่ดาบลมปราณของเขาไร้สีสัน ถ้าดาบลมปราณของเขาไม่ได้อยู่ภายใต้แสงสีม่วงแดง ดาบลมปราณที่ใสเหมือนกับคริสตัลก็คงจะล่องหนโดยสมบูรณ์ต่อสายตาผู้คน
“วิถีนภาไร้สิ้นสุดจากตำราไร้อักษร” ผู้นำปราสาทนภาอึ้งเมื่อได้เห็นดาบลมปราณบนนิ้วมือของไผ่เดียวดาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ขณะที่จ้องไปที่มัน
“ไม่มีทาง เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นใช่วิถีนภาไร้สิ้นสุดจริงๆ? นี่เขาเริ่มฝึกมันมานานเท่าไหร่แล้ว?” ผู้หญิงที่สวมหน้ากากสีดำไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
ผู้นำปราสาทนภาหัวเราะและพูด “ฮ่าๆ แน่นอนว่าข้าแน่ใจ เขาเป็นลูกศิษย์ของข้า เขาได้เริ่มฝึกวิถีนภาไร้สิ้นสุดจากตำราไร้อักษรตั้งแต่ที่เขากลายเป็นมาร์ควิส เขาเป็นศิษย์ที่ดี และข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่ามันไม่มีใครในจักรวาลแห่งนี้ที่จะแข็งแกร่งไปกว่าเขา”
“เขาเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดตั้งแต่อายุแค่นี้ ปราสาทนภานั้นโชคดีจริงๆ” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเขาดูไม่ดีเลยสักนิด
“ปราสาทนภาจะโชคดีเกินไปแล้ว” คนเก่าคนแก่หลายคนเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโมโหด้วยความอิจฉา
ตำราไร้อักษรเป็นอะไรที่ยากจะเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์คนหนึ่งสามารถครองโลกได้ แต่การเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า มันมีชาวนภาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียนรู้ตำราไร้อักษรได้ และมันมีคนน้อยยิ่งกว่าที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีนภาไร้สิ้นสุด แถมในบรรดาไม่กี่คนที่เรียนรู้มันได้สำเร็จ พวกเขาก็เรียนรู้มันในตอนที่เป็นระดับราชัน
แม้แต่ผู้นำปราสาทนภาเองก็เรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดในตอนที่เขาเป็นดยุก และเพียงแค่นั้นผู้คนก็เชื่อว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่สุดที่เคยมีมา
แต่ตอนนี้ไผ่เดียวดายเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดตั้งแต่ที่ยังเป็นแค่มาร์ควิส ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกฝ่ายจะอิจฉาปราสาทนภาที่มีอัจริยะอย่างไผ่เดียวดาย
ทั้งหานเซิ่นและไผ่เดียวดายรวบรวมพลังไปที่ปลายนิ้วของตัวเอง พลังสีแดงและพลังสีฟ้าเป็นเหมือนกับเทพเจ้า 2 คนที่ลุกโชติช่วงด้วยความโกรธ แม้แต่จะมองพวกเขาก็เป็นอะไรที่น่ากลัว
เมื่อพลังของทั้ง 2 ถึงจุดสูงสุด พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว
หานเซิ่นดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ชี้นิ้วออกไป มันไม่ใช่เทคนิคที่งดงามอะไร มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นอะไรที่ร้ายแรง
ไผ่เดียวดายแทงนิ้วมือของเขาออกไปข้างหน้าและปลดปล่อยดาบลมปราณไปหาหานเซิ่นเช่นเดียวกัน
พลังทั้ง 2 พุ่งเข้าหากัน และเมื่อพวกมันมาประจบกัน ผู้ชมก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับไข่กำลังแตกร้าว ชุดเกราะของไผ่เดียวดายแตกสลายเป็นผุยผง แต่ดอลลาร์ไม่เป็นอะไร
“ข้าแพ้แล้ว ขอบคุณที่ชี้แนะ” ไผ่เดียวดายโค้งคำนับหานเซิ่นอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเขาก็ฉีกกระดาษและหายตัวไปจากบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน
“เป็นไปไม่ได้! วิถีนภาไร้สิ้นสุดจะแพ้ได้ยังไง? นั่นมันคือแก่นแท้ของวิถีนภา ผู้ใช้จะเดินทางข้ามกาลเวลาด้วยมัน ดังนั้นเขาจะพ่ายแพ้ได้ยังไง?” ผู้นำปราสาทนภาจ้องไปที่บัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนอย่างตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้เห็น
เขารู้ดีว่าวิถีนภาไร้สิ้นสุดทรงพลังขนาดไหน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาตกใจอย่างที่สุด
“วิถีนภาไร้สิ้นสุดพ่ายแพ้” ยอดฝีมือที่เก่าแก่ตกใจเช่นเดียวกัน พวกเขาจ้องไปที่ร่างสีทองภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนด้วยความตกตะลึง
“มนุษย์ ดอลลาร์” สายตานับไม่ถ้วนนั้นจ้องไปที่คำ 2 คำนั้น ผู้ชมเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความอิจฉา ความชื่นชม ความหวาดกลัว
ตูม!
ดอลลาร์หายตัวไปจากสายตา หลังจากนั้นภาพวิดีโอการต่อสู้ของดอลลาร์ก็ถูกแสดงบนบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน ยอดฝีมือทุกคนมองดูการต่อสู้อย่างตั้งใจ การต่อสู้แต่ละรอบถูกฉายติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรอบสุดท้ายที่เขาขึ้นสู่อันดับที่หนึ่ง
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าผู้ชนะเลิศระดับมาร์ควิสจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อดอลลาร์ ขุนนางทุกคนมองดูผลการต่อสู้รอบสุดท้ายอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะตอบสนองยังไงดี