ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ดยุกจตุฤดูมาเข้าฟังการบรรยายของหานเซิ่นทุกวัน และในแต่ละครั้งเขาจะเลือกนั่งใกล้กับเวทีขึ้นเรื่อยๆ และในวันนี้เขาก็นั่งที่แถวหน้าสุด
เมื่อดยุกจตุฤดูยืนขึ้น ทุกคนก็หันมองไปที่เขา
กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นรู้สึกกังวลขึ้นมา พวกเขาหวังว่ามันจะไม่มีเรื่องแย่ๆอะไรเกิดขึ้น
หานเซิ่นสังเกตเห็นถึงการมาของดยุกจตุฤดูตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้ว แต่หานเซิ่นไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเขา แต่ตอนนี้เมื่อดยุกจตุฤดูลุกขึ้นมา หานเซิ่นก็ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่เขา
“อาจารย์หาน ข้าได้ฟังบทเรียนของเจ้าเรื่องหมัดผนึกมารตลอดหลายวันที่ผ่านมา และข้าต้องขอสารภาพว่าข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นข้าก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับบทเรียนของเจ้าอยู่ เจ้าจะช่วยแสดงหมัดหนึ่งให้ข้าดูหน่อยได้ไหม แบบนั้นบางทีข้าอาจจะได้รับคำตอบของคำถามนั้น” ดยุกจตุฤดูพูดด้วยความจริงใจ
หลังจากนั้นทุกคนก็ดูเหมือนกับว่าถูกแช่แข็งอยู่กับที่ กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นจ้องไปที่ดยุกจตุฤดูราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะเห็นผี
ดยุกจตุฤดูไม่เพียงแค่ไม่เย้ยหยันหานเซิ่นเท่านั้น แต่เขากำลังเรียกหานเซิ่นว่าอาจารย์อีกต่างหาก นั่นหมายความว่าเขาเห็นหานเซิ่นเป็นอาจารย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับตัวเอง
เนื่องจากดยุกจตุฤดูระดับสูงกว่าหานเซิ่น ดังนั้นโดยปกติแล้วเขาสามารถเรียกหานเซิ่นด้วยชื่อเต็มแทนที่จะเรียกตำแหน่ง การเรียกหานเซิ่นว่าอาจารย์นั้นแสดงให้เห็นว่าเขานับถือและยอมรับในตัวหานเซิ่น
ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฝันไป เมื่อได้เห็นดยุกจตุฤดูพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ เพราะด้วยตำแหน่งและชื่อเสียงของดยุกจตุฤดู มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องเรียกหานเซิ่นแบบนั้น
หลังจากที่ดยุกจตุฤดูกลับจากฟังการบรรยายของหานเซิ่นในทุกวัน เขาก็เริ่มทำการฝึกในทันทีที่ถึงบ้าน และเนื่องจากว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาผนึกมาร นั่นทำให้เขาสามารถมองลึกเข้าไปในแก่นแท้ของหมัดผนึกมารได้
หลังจากการฝึกหลายต่อหลายวัน ดยุกจตุฤดูก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือหานเซิ่นจากใจจริง
และเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่หานเซิ่นจะทำการบรรยาย เขาจึงห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขอให้หานเซิ่นช่วยแสดงหมัดให้ดู เขาต้องการรู้ถึงความรู้สึกของหมัดผนึกมารจากหานเซิ่นโดยตรง
“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าท่านสนใจในพรสวรรค์ห่วยๆของข้าล่ะก็ ข้าจะแสดงพวกมันเพื่อท่าน ถ้าข้ายังพัฒนาต่อได้ ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย”
ยังไงซะหานเซิ่นก็มีแผนจะแสดงมันในวันสุดท้ายอยู่แล้ว
ดยุกจตุฤดูดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น เขาพูดขึ้นมา “อย่าพูดแบบนั้น ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากอาจารย์หานจริงๆ ข้าไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่น”
หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่พยักหน้าและเริ่มการบรรยาย
“ตลอดการบรรยายที่ผ่านมา ข้าได้สอนไปทั้งหมด 6 หมัด วันนี้ข้าจะแสดงพวกมันทั้งหมดให้ทุกท่านได้เห็น บางทีพวกมันอาจจะช่วยเหลือทุกท่านได้ในอนาคตข้างหน้า”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เริ่มแสดงหมัดของเขา
หมัดผนึกมารของหานเซิ่นเกิดมาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 แต่ละหมัดของหานเซิ่นจะแฝงความหมายของมนต์สังหารยีนดั้งเดิมเอาไว้ ขณะที่หานเซิ่นแสดงทั้ง 6 หมัด มันก็รู้สึกราวกับว่ามนต์สังหารยีนดั้งเดิมมีชีวิตขึ้นมา มันทำให้ผู้ชมรู้สึกหนาวสั่นและหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นก่อกวนภายในจิตใจของพวกเขา
เมื่อไหร่ก็ตามที่หานเซิ่นชกหมัดออกไป เขาก็เป็นเหมือนกับอสูรร้าย หนึ่งวิชา หนึ่งความหมาย หานเซิ่นแสดงวิชาหมัด 6 วิชาให้กับพวกเขา และมันก็เหมือนกับอสูรที่น่ากลัว 6 ตัวพยายามจะกลืนกินโลกใบนี้
ศิษย์ของปราสาทนภาที่มาเข้าฟังกระวนกระวายด้วยความตื่นเต้น ในเวลาที่หานเซิ่นแสดงเสร็จ ดยุกจตุฤดูดูเหมือนกับว่าเขากำลังมึนเมา เขาแข็งทื่อไปเหมือนกับว่าเขาจมอยู่ในความรู้สึกของวิชาหมัด
“วิชาหมัดทั้ง 6 ของอาจารย์หานนั้นจะช่วยให้ข้าประหยัดเวลาในการฝึกไปถึง 60 ปี ข้าช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ!” ดยุกจตุฤดูโค้งคำนับหานเซิ่น
“ดยุกจตุฤดู ท่านชมเกินไปแล้ว!” หานเซิ่นโค้งคำนับกลับ
หลังจากนั้นหมัดผนึกมารก็กลายเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งปราสาทนภา มันถูกนำเข้าไปในสวนวิถีนภาและกลายเป็นหนึ่งในวิชาที่จำเป็นต้องฝึก
ชื่อเสียงของหานเซิ่นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม และนอกจากนั้นเขายังได้รับรางวัลอย่างงามจากหมัดผนึกมารที่เขาคิดค้นขึ้นมา
หลังจากนั้นดยุกจตุฤดูก็มักจะแวะไปหาหานเซิ่นเพื่อถามเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอยู่เป็นประจำ หานเซิ่นสอนหมัดผนึกมารทั้ง 72 ให้กับดยุกจตุฤดู และเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาผนึกมารจากดยุกจตุฤดูด้วยเช่นกัน
หมัดผนึกมารของหานเซิ่นเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาอย่างมาก มันทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาสามารถเรียนรู้วิชาผนึกมารได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครคนหนึ่งต้องการฝึกมันจนเชี่ยวชาญนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์อย่างดยุกจตุฤดู
หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมายจากดยุกจตุฤดู และมันก็ทำให้เขารู้สึกนับถือชายคนนี้ขึ้นมา ดยุกจตุฤดูเองก็นับถือหมัดผนึกมารของหานเซิ่นเช่นกัน ในช่วงนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร เขาก็เริ่มใช้หมัดผนึกมารเพื่อทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
“นี่หานเซิ่นเคยทำอะไรที่ธรรมดาบ้างไหมนะ? เขามหัศจรรย์ในทุกอย่างที่เขาทำ” ผู้นำปราสาทนภาพูดด้วยรอยยิ้ม
“มีเพียงแค่ราชันเท่านั้นที่จะเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน และในตอนที่พวกเขาเข้าไปนั้น เป้าหมายของพวกเขาก็คือการกลายเป็นครึ่งเทพด้วยมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 ไม่มีใครคิดจะนำมันมาประยุกต์ใช้เป็นวิชาหมัดอย่างหานเซิ่น มีเพียงแค่หานเซิ่นเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นได้ เขาทำให้วิชาผนึกมารกลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้มันอีกต่อไป และถึงแม้มันจะเหมือนการทำอะไรลวกๆ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้”
ผู้หญิงหน้ากากสีดำพูดต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไผ่เดียวดายได้เห็นหมัดผนึกมารของหานเซิ่น เขาได้ขอไปที่ถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ”
ผู้นำปราสาทนภาพยักหน้าและพูด “ไผ่เดียวดายเพิ่งจะเข้าไปในนั้นได้แค่ครึ่งเดือน ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่กลับมาอีกหนึ่งปี แต่มันยังมีปัญหาเรื่องเมทัลเวิลด์อีก”
ผู้หญิงสวมหน้ากากยิ้มแห้งๆออกมา “ถ้าพวกเรารู้ก่อนว่าจะมีการค้นพบเมทัลเวิลด์ พวกเราก็คงจะไม่อนุญาตให้ไผ่เดียวดายเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อนแบบนั้น ตอนนี้เมื่อเขาเข้าไปแล้ว มันก็ไม่เหมาะสมที่จะไปรบกวนและส่งเขาไปที่เมทัลเวิลด์”
“แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีมาร์ควิสคนอื่น นอกจากไผ่เดียวดายที่จะทำงานนี้ให้กับพวกเราได้” ผู้นำปราสาทนภาพูด
ผู้หญิงสวมหน้ากากหัวเราะและพูด “ถ้าหานเซิ่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ไผ่เดียวดายเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน อย่างนั้นแล้วหานเซิ่นก็ควรจะรับหน้าที่นี้แทนไผ่เดียวดาย พวกเราควรให้เขาไปที่เมทัลเวิลด์”
“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี หานเซิ่นยังไม่ใช่มาร์ควิส” ผู้นำปราสาทนภาพูดพร้อมกับส่ายหัวของเขา
“เขาฆ่าดราก้อนไนน์ได้ไม่ใช่หรอ? อย่างนั้นแล้วเขาก็เหมือนมาร์ควิสคนหนึ่ง และอีกอย่างเขาก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี” ผู้หญิงสวมหน้ากากหัวเราะอีกครั้ง