เมืองขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่บนภูเขาโลหะลูกหนึ่ง ซึ่งเมืองนั้นก็ทำขึ้นมาจากโลหะสีดำเช่นเดียวกับภูเขา ทำให้มันดูเหมือนกับเป็นเมืองที่ถูกแกะสลักจากภูเขาแทนที่จะถูกสร้างขึ้นมา
เมื่อมองจากระยะไกล ตัวเมืองและภูเขาจะกลมกลืนกันจนแยกไม่ออก
ยอดโลหะแหลม 2 ข้างที่สูงกว่าหนึ่งพันเมตร ก่อตัวเป็นประตูทางเข้าขนาดมหึมา ประตู 2 บานที่ใหญ่โตนั้นทำให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้าไปรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นมดตัวหนึ่ง
จากระยะไกล หานเซิ่นมองเห็นข้อความบนประตูที่อ่านได้ว่าเมืองเมทัลไจแอนท์ก็อต มันถูกเขียนเอาไว้ด้วยภาษาที่หานเซิ่นเคยเห็นในจักรวาลจีโน
เมื่อเห็นเมืองขนาดใหญ่ยักษ์กำลังหมอบอยู่บนภูเขาราวกับอสูร หานเซิ่นก็ขมวดคิ้วและพูด “เมืองนี้มีขนาดใหญ่จริงๆ แม้แต่เผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นก็ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายขนาดนี้”
“นานมาแล้วไจแอนท์เป็นหนึ่งในสิบเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเบรกสกาย เบรกสกายนั้นมีปัญหาในการสืบสายพันธุ์และประชากรของพวกเขาก็ลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งพวกเขาสูญพันธุ์ เว้นแต่ไม่กี่คนที่เลือกผสมพันธุ์กับสายพันธุ์อื่น พวกเราเชื่อว่าเมืองๆนี้คือที่อยู่อาศัยของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเบรกสกาย” ข่านพูด
หลังจากหยุดชั่วครู่ ข่านก็พูดต่อ “หลังจากที่เข้าไปในเมือง พวกเราขุดพบข้อความที่กล่าวถึงเบรกสกาย รอยแกะสลักนั้นเปิดเผยว่าที่นี่คือเมืองของเบรกสกาย แต่ในช่วงหนึ่ง มันเกิดการต่อสู้ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ไปสู่ความล่มสลาย แต่ที่แปลกก็คือว่าในตอนที่พวกเราเข้าไปสำรวจในเมืองนั้น พวกเราไม่พบเศษร่างหรือศพของพวกเขาเลย”
เนื่องจากประตูหลักปิดสนิทและไม่มีใครสามารถเปิดมันได้ ข่านจึงพาพวกเขาไปทางด้านซ้ายของตัวเมืองที่มีรอยแตกของกำแพงอยู่ ซึ่งถ้ากำแพงไม่แตกเป็นรูล่ะก็ พวกเขาก็คงจะเข้าไปข้างในไม่ได้
เนื่องจากเข้าไปทางด้านบนเต็มไปด้วยอันตราย เพราะใครก็ตามที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมาจะต้องเตรียมระบบป้องกันเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว
เมื่อพวกเขารอดผ่านกำแพงเข้าไปข้างใน หานเซิ่นก็สังเกตเห็นค่ายตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นของบุดด้า ดราก้อนและเดสทรอยเยอร์
แต่มันน่าแปลกที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนส่งคนมาคอยเฝ้ารูบนกำแพงเมืองเลย จริงๆแล้วมันไม่มีวี่แววใครอยู่แถวๆนี้เลยด้วยซ้ำ
“น่าแปลกจริงๆ ดูเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วอย่างไงอย่างงั้น หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นกับดัก?” ไวท์เรียลมองไปที่ค่ายข้างหน้าอย่างเป็นกังวล
ข้าวของต่างๆกระจัดกระจายไปทั่ว แต่มันไม่ได้มีรองรอยการต่อสู้เกิดขึ้น มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาหลบหนีไปจากที่นี่อย่างรีบร้อน
“นี่ไม่ใช่กับดัก มันไม่มีใครอยู่ที่นี่จริงๆ” อวี้เอียะพูด
หานเซิ่นพาทีมของเขาเดินไปสำรวจรอบๆ และเมื่อแน่ใจว่าทีมจากเผ่าพันธุ์อื่นไม่อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ พวกเขาก็เริ่มเก็บเสบียงและข้าวของที่ถูกทิ้งเอาไว้ พวกเขาพบว่าภายในค่ายยังมีจีโนฟลูอิดทั้งเอาไว้อีกด้วย
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไปจากที่นี่อย่างเร่งรีบ พวกเขาไม่แม้แต่จะเก็บจีโนฟลูอิดพวกนี้ไปด้วย” หานเซิ่นหันมามองข่าน
ข่านเข้าใจหานเซิ่น “บางทีพวกเขาอาจจะพบอะไรบางอย่างภายในโบราณสถานนี้ ทำให้พวกเขาตื่นเต้นเกินไปจนเก็บข้าวของติดตัวไปด้วย?”
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่ว่าพวกเขาค้นพบอะไรบางอย่าง บางทีมันอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทำให้พวกเขาต้องรีบหนีไป” อวี้เอียะพูด
“นั่นก็เป็นไปได้ แต่พวกเราไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้เลยนี่สิ” ข่านครุ่นคิดอีกครั้ง หลังจากนั้นจู่ๆเขาก็หยุดชะงักไป
มันไม่ใช่แค่ข่านเท่านั้น ทุกคนหน้าซีดไป ขณะที่พวกเขามองไปที่ด้านนอกของตัวเมือง
ดวงตาสีแดงมากมายนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า เมื่อดวงตาที่เรืองแสงนั้นเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ มันก็เผยให้เห็นมอนสเตอร์ที่มีร่างทองแดงเหมือนกับแมลงปอ
ฝูงแมลงปอเริ่มพากันบินเข้ามาในรูของกำแพง
“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเป็นเวลาที่พายุแม่เหล็กเป็นสีฟ้า! แล้วทำไมมอนสเตอร์โลหะพวกนั้นถึงได้ปรากฏตัวมาในเวลาแบบนี้?” อวี้เอียะหันไปมองข่าน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราไม่เคยเห็นซีโน่เจเนอิคโลหะตอนที่พายุแม่เหล็กเป็นสีฟ้ามาก่อน และแม้แต่ตอนที่พายุแม่เหล็กเปลี่ยนเป็นสีแดง พวกมันก็ไม่เคยเข้ามาในตัวเมือง นี่ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเราควรจะรีบหนีไปจากที่นี่” ข่านพูด หลังจากนั้นเขาก็นำทีมพวกเดม่อนเข้าไปในโบราณสถาน
หานเซิ่นและอวี้เอียะมองหน้ากัน พวกเขาตัดสินใจพาคนของปราสาทนภาเข้าไปในโบราณสถานเช่นเดียวกัน
แมลงปอพวกนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมาร์ควิส และจำนวนของพวกมันก็เยอะเกินไป ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะต่อสู้กับพวกมันโดยไม่เกิดการสูญเสีย
มาร์ควิสของปราสาทนภาและเดม่อนตรงเข้าไปหลบภายในโบราณสถานร่วมกัน ข่านที่อยู่ด้านหน้าสุดตะโกน ขณะที่วิ่งไปข้างหน้า
“มันมีปราสาทอยู่ข้างหน้า พวกเราจะเข้าไปหลบในนั้น”
หานเซิ่นเห็นสิ่งก่อสร้างที่ข่านพูดถึงก่อนหน้านั้นแล้ว ปราสาทนั้นใหญ่โตเหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง มันใหญ่ซะจนหานเซิ่นคิดว่าแม้แต่คนที่ตาบอดก็มองเห็นมันได้ แต่ประตูของปราสาทปิดสนิท และเขาไม่รู้ว่าจะเปิดมันได้ยังไง
“ข้าเคยมาที่นี่ มันมีช่องว่างอยู่ที่กำแพงของปราสาท พวกเราควรจะรอดผ่านมันเข้าไปและใช้สร้างสิ่งกรีดขวางทางเข้าจากภายใน แบบนั้นการจะรับมือกับพวกมันก็จะเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก” ข่านพูดขณะที่วิ่งไปอีกด้านหนึ่งของปราสาท
หานเซิ่นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆตลอดเหตุการณ์ทั้งหมดนี่ แต่เขาก็พาศิษย์ของปราสาทนภาตามหลังข่านไป ไม่นานเขาก็เห็นรูตรงหน้า มันมีรูปร่างเหมือนกับกำปั้น ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจากการถูกชกด้วยหมัด
ซีโน่เจเนอิคโลหะไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลาจะลังเลขณะที่รีบสไลด์ผ่านกำแพงเข้าไป หานเซิ่นและอวี้เอียะเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปในปราสาทนั้น ซีโน่เจเนอิคโลหะที่เหมือนกับแมลงปอก็บินเข้าหาพวกเขาจากด้านหลัง
มาร์ควิสที่เฝ้าทางเข้าอยู่ปลดปล่อยแสงเทพของพวกเขาเพื่อฆ่าซีโน่เจเนอิคโลหะ 2 ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด
หลังจากนั้นมาร์ควิสเดม่อนคนหนึ่งก็เรียกโล่ขนาดใหญ่ออกมาเพื่อขวางทางเข้าเอาไว้
ซีโน่เจเนอิคโลหะพุ่งชนใส่โล่ซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่ามันจะพยายามสักแค่ไหน มันก็ไม่สามารถผ่านโล่นั้นมาได้
หานเซิ่นรีบมองไปรอบๆปราสาท แต่ก่อนที่เขาจะสังเกตภายในห้องได้อย่างละเอียด ความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดไปยังร่างกายที่นอนอยู่บนพื้น มันเป็นซากศพของทั้งดราก้อนและบุดด้า พวกเขาถูกฆ่าอย่างโหดร้าย
เกล็ดและผิวหนังถูกถลกออกจากร่างกาย แต่น่าแปลกที่เนื้อภายในของพวกเขาถูกเหลือทิ้งเอาไว้ เลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกขึ้นมา แม้แต่หานเซิ่นที่เคยเห็นเลือดมานักต่อนักก็ยังรู้สึกแย่