หานเซิ่นมองดูภูเขามหาสมุทรด้วยดวงตาข้างขวา ภายใต้ผลของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง ประวัติศาสตร์ของภูเขามหาสมุทรก็ถูกเล่นต่อหน้าดวงตาข้างขวาของเขาราวกับภาพยนตร์
วิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าพวกมันแต่ละดวงเป็นแบบไหน ถ้าเขาไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มาก่อน ในภาพย้อนอดีตที่หานเซิ่นกำลังดูอยู่นั้น เขาเห็นก้อนหินที่สูงหนึ่งหมื่นเมตรก่อกำเนิดขึ้นมาจากก้อนหินที่เล็กกว่า หินนั้นแยกออกเป็นชิ้นที่บางเหมือนกับผิวหนังที่ถูกแกะออกไปทีละชั้นๆ
หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับภูมิศาสตร์มากนัก แต่เขารู้ว่าโดยปกติแล้วก้อนหินไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบนั้น แต่วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงนั้นก็ไม่ได้มอบข้อมูลที่ผิดให้กับเขาเช่นกัน อะไรก็ตามที่ดวงตาเขามองเห็นเป็นความจริง
“แปลกแฮะ หินมหาสมุทรไม่ได้เป็นก้อนหินจริงๆหรอเนี่ย? หรือว่าบางทีจริงๆแล้วพวกมันเป็นพืชอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันถูกเช่นกัน พวกมันดูไม่เหมือนกับพืชไหนๆที่เขาเคยเห็นมาก่อน หินมหาสมุทรเป็นหินอย่างเห็นได้ชัด และถ้าพวกมันมีชีวิต อย่างนั้นแล้วพวกมันก็เป็นก้อนหินมีชีวิตบางชนิด
จิตใจของหานเซิ่นนึกไปถึงทฤษฎีที่เลฟต์เครซี่เคยบอกกับเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่เขาคิดว่าสถานการณ์ที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้มันต่างออกไป
เนื่องจากหินมหาสมุทรใช้เวลายาวนานกว่าจะก่อตัวขึ้นมา ภาพวิดีโอที่เล่นในดวงตาข้างขวาของเขาจึงใช้เวลายาวนานกว่าจะย้อนกลับไปจนถึงต้นกำเนิดของก้อนหิน
ในศูนย์กลางของหินมหาสมุทร มันมีแมลงหินขนาดเล็กที่ดูคล้ายคลึงกับตัวไหม แมลงหินนั้นอาศัยอยู่ภายในทะเลลาวาราวกับว่ามันเป็นมหาสมุทรที่สงบนิ่ง ร่างกายของมันกลิ้งไปอย่างช้าๆผ่านลาวาจนกระทั่งมันตัดสินใจออกมา
ลาวาบนร่างก่ายของมันค่อยๆแข็งตัวจนกลายเป็นเปลือกหิน หลังจากนั้นเปลือกหินก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ มันค่อยๆกลายเป็นสีดำที่เป็นประกายเหมือนกับหยกดำ
เมื่อหินกลายเป็นสีดำโดยสมบูรณ์ แมลงหินก็กระโดดกลับลงไปในลาวา หลังจากนั้นมันก็กลิ้งไปมาอยู่ภายในนั้นอีกครั้ง
แมลงหินทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่เปลือกหินค่อยๆก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกร่างกายของมันมีขนาดพอๆกับนิ้วมือเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน มันก็กลายเป็นก้อนหินก้อนใหญ่
ในที่สุดเปลือกหินก็หนักเกินกว่าที่แมลงหินจะเคลื่อนไหวได้อีก มันไม่มีพละกำลังพอที่จะขึ้นมาจากลาวา และร่างกายของมันก็จมลึกลงไป
ยิ่งเวลาผ่านไป ทะเลลาวาก็สร้างชั้นหินขึ้นมาเรื่อยๆ และหลังจากผ่านไปเป็นล้านๆปี มันก็กลายเป็นหินมหาสมุทรที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขา
ภาพในอดีตทำให้หานเซิ่นตกตะลึง เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าสิ่งมีชีวิตน้อยๆแบบนั้นจะกลายเป็นภูเขาลูกหนึ่ง มันทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของปาฏิหาริย์แห่งชีวิตขึ้นมา ชีวิตนั้นเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง
การค้นพบนี่ทำให้หานเซิ่นอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไรกันแน่ แต่เจ้าแมลงหินมีพลังที่จะเปลี่ยนลาวาให้กลายเป็นหินมหาสมุทร
‘เจ้าแมลงนั่นยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ ถ้ามันมีชีวิตอยู่ แบบนั้นแล้วมันกินอะไรเพื่อความอยู่รอดกัน?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
แต่มันไม่มีทางที่หานเซิ่นจะรู้ถึงเรื่องนั้นได้ เพราะภูเขานั้นหนาเกินไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อยู่ในจุดศูนย์กลางของภูเขา
ก้อนของหินมหาสมุทรเป็นอะไรที่ดูไร้ที่ติ มันไม่มีรอยแตกเหมือนกับก้อนหินธรรมดาทั่วๆไป และถึงแม้ภายนอกจะมีรอยแตกร้าว แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในก็ไม่สนใจ นอกซะจากคนที่ทำการจู่โจมจะแข็งแกร่งกว่าหินมหาสมุทร ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางถูกตัดเปิดออกได้
โชคดีที่การวิเคราะห์ของวิญญาณอสูรเนตรม่วงนั้นมอบข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายให้กับหานเซิ่น
ในตอนที่หานเซิ่นกำลังมองดูต้นกำเนิดของหินมหาสมุทร เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ
ถึงแม้ก้อนหินที่แมลงหินตัวน้อยสร้างขึ้นมาจะดูไร้ที่ติ แต่หานเซิ่นสังเกตเห็นรูขนาดเล็กบริเวณที่ควรจะเป็นตำแหน่งหน้าผากของแมลงหิน รูนั้นมีขนาดเล็กจนหานเซิ่นแทบจะสังเกตไม่เห็น
‘เจ้าแมลงหินจำเป็นต้องหายใจด้วยอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิด
เขาไม่เข้าใจว่ารูนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ไม่ว่ามันจะมีชั้นหินเพิ่มขึ้นมาสักกี่ชั้น มันก็ยังคงมีรูน้อยๆที่ทะลุผ่านพวกมันทุกชั้น
แต่ตลอดช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา มันไม่มีใครคนอื่นสังเกตเห็นถึงรูนั้นมาก่อน
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง แม้แต่ศาสตร์ตงเสวียนของเขาก็คงจะมองข้ามรูนั่นไปเช่นกัน
แต่ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นพบมัน เขาก็อยากจะรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้น เมื่อคิดได้อย่างนั้น หานเซิ่นก็เริ่มเดินเข้าไปหาภูเขามหาสมุทร
“ในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหว เขาจะทิ้งอะไรเอาให้บนอนุสรณ์มหาสมุทรกัน เขาจะทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้หรือเปล่านะ?”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะแค่ทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้ สำหรับคนอย่างเขาแล้ว การแค่ทิ้งชื่อเอาไว้ถือเป็นอะไรที่ธรรมดาเกินไป บางทีเขาอาจจะทิ้งคำกลอนหรือวาดภาพเอาไว้ แบบนั้นมันจะเหมาะสมกับเขามากกว่า”
“นั่นมันก็จริง แต่ข้าไม่คิดว่ากลอนหรือภาพวาดเป็นอะไรที่เหมาะสม? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหานเซิ่นใช้อาวุธอะไร? ข้าคิดว่าเขาควรจะทิ้งรอยมีดเอาไว้ ลองคิดดูดีๆ ถ้าอาจารย์หานทิ้งรอยมีดไว้ด้วยวิชามีดที่ยอดเยี่ยม พวกเราก็จะเรียนรู้จากมันได้ และศิษย์ของปราสาทนภาก็อาจจะเก่งกาจในวิชามีดยิ่งขึ้นไป แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างนั้นหรอ?”
“เจ้าพูดถูก แต่ถ้าอย่างนั้น การทิ้งจิตแห่งมีดเอาไว้เบื้องหลังก็อาจจะเป็นอะไรที่ดียิ่งกว่า”
กระเรียนพันขน พี่น้องยวิ๋นและบุดด้าเฟิร์สเดย์กำลังมองดูหานเซิ่นเดินเข้าไปหาภูเขามหาสมุทรอยู่เช่นกัน
“หานเซิ่นจะทิ้งอะไรเอาไว้เบื้องหลังกันแน่?” ยวิ๋นซู่อีถาม
เธอรู้ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับหานเซิ่น แต่การเห็นหานเซิ่นจากไปก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกเสียใจอยู่ดี
“หานเซิ่นไม่เคยแสวงหาชื่อเสียง เขาคงจะแค่ทิ้งชื่อหรือรอยมีดเอาไว้เท่านั้น” กระเรียนพันขนพูด
“นั่นก็เป็นไปได้” ยวิ๋นซู่ซางพูดพร้อมกับพยักหน้า
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ หานเซิ่นก็ให้เป๋าเอ๋อเรียกคลาวด์บีสต์สีแดงออกมาและมุ่งหน้าขึ้นสู่จุดสูงสูดของภูเขา
การเคลื่อนไหวนั้นทำให้พวกผู้อาวุโสของปราสาทนภารู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะในตอนที่อี๋ซากำลังจะจากไปนั้น เธอก็ทำแบบเดียวกันนี้