หานเซิ่นหลี่ตา ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวของคนๆนั้นมากพอที่จะบดขยี้แม้แต่ก้อนหินที่แข็งแกร่งที่สุด
ขณะที่คนๆนั้นเดินเข้ามา หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีไป ตัวตนของคนๆนั้นกำลังคุกคามเขาซ้ำๆราวกับคลื่นที่ไม่มีวันหยุด
“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามออกมาขณะที่มองร่างของคนที่กำลังเดินเข้ามา
หานเซิ่นยังคงยืนตรง เขาปักหลักอยู่ที่เดิมราวกับว่าพลังนั้นไม่ได้มีผลกับเขาเลยสักนิดเดียว
คนๆนั้นยังคงค่อยๆเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร และทุกก้าวของเขาก็ตามมาด้วยเสียงของหินที่แตกเป็นชิ้นๆใต้เท้าของเขา
เสียงฝีเท้าที่เบาหวิวดังสนั่นในหูของหานเซิ่น มันส่งผลให้เกิดการระเบิดภายในหัวของหานเซิ่น มันทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงยิ่งไปกว่าเดิม
เงานั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าเป็นเหมือนกับระเบิดลูกโซ่ที่ระเบิดในหัวของหานเซิ่นตามกันไปทีละลูก นอกจากนั้นแล้วตัวตนของอีกฝ่ายก็ดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆในทุกก้าว
หานเซิ่นมองไปที่ร่างๆนั้นและสังเกตเห็นว่าคนๆนั้นมีความสูงที่ใกล้เคียงกับเขา แต่ในสายตาของหานเซิ่นแล้ว คนๆนั้นดูยิ่งใหญ่กว่าเขามาก เขาความรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าที่ทอดเงาเหนือตัวเขา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับมดตัวหนึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว
หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นคนๆนี้ก็สามารถใช้พลังได้ถึงระดับที่คนธรรมดาไม่มีทางต่อสู้กับมันได้
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผ่าพันธุ์รีเบทมียอดฝีมือแบบนี้อยู่?” หานเซิ่นสับสนกับตัวตนของคนๆนี้
ร่างกายและตัวตนของคนๆนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก แต่พลังชีวิตของเขาดูจะไม่ใช่ระดับราชัน อย่างมากเขาก็เป็นแค่ระดับดยุกเท่านั้น แต่หานเซิ่นไม่สามารถนึกถึงใครคนไหนภายในแนร์โรว์มูนที่มีออร่าที่น่ากลัวขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นระดับดยุก
คนๆนั้นยังคงเดินตรงเข้ามา แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนตัวตนที่น่ากลัวของเขาก็ไม่สามารถข่มขู่ให้หานเซิ่นหวาดกลัวได้ ในที่สุดคนๆนั้นก็หยุดเดินเมื่ออยู่ห่างจากหานเซิ่นไปสิบก้าว เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองมาที่เขา
ตอนนี้หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายจริงๆแล้วเป็นผู้หญิง เธอสวมใส่ชุดเกราะและหมวกสีดำ ใบหน้าของเธอจะถูกปิดบังด้วยหน้ากากที่เธอสวมอยู่ ยกเว้นดวงตาสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากหน้ากาก แต่มันเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นผู้หญิง เมื่อดูจากส่วนโค้งของชุดเกราะ
เธอสูงพอๆกับหานเซิ่น และขาที่เรียวยาวของเธอดูเป็นอะไรที่น่าดึงดูดอย่างมาก
แต่สายตาของหานเซิ่นไม่ได้ถูกดึงดูดไปที่ดวงตาหรือขาของเธอ จริงๆแล้วเขากำลังมองไปที่มือข้างซ้ายของเธอ
มือข้างขวาของเธอถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือเกราะ แต่ทว่ามือข้างซ้ายของเธอเป็นมือเปล่าๆที่ไม่ได้สวมใส่อะไร ผิวมือของเธอดูขาวบริสุทธิ์ นิ้วมือของเธอดูเรียวยาว และเล็บของเธอก็ละเอียดอ่อนราวกับคริสตัล
แต่หานเซิ่นไม่ได้มองเพื่อชื่นชมความงามของมัน ที่เขามองมันก็เพราะพลังที่หมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเธอ มันเป็นพลังที่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้
โดยที่ไม่มีแสงแห่งเทพที่น่าตกใจหรือเปลวไฟที่น่ากลัว จู่ๆมือของเธอก็กุมเป็นหมัดที่สง่างามและชกออกไปใส่หานเซิ่น ดวงตาของหานเซิ่นจับจ้องไปยังหมัดที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา
ขณะที่หมัดกำลังพุ่งเข้ามาหาหานเซิ่น ร่างกายของเขาก็สั่นไหว แต่เขาไม่ได้สั่นด้วยความกลัว เขาสั่นเนื่องจากเปิดใช้พลังทั้งหมดภายในตัว
หลังการสั่นไหว พลังทั้งหมดของหานเซิ่นก็พรั่งพรูขึ้นมา
แรงกดดันที่หานเซิ่นรู้สึกจากหมัดที่กำลังเข้ามา ทำให้เขาพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ การยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงชุดเกราะสีดำคนนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง
แต่หานเซิ่นไม่มีเจตนาจะหลบหลีก เมื่อหมัดนั้นถูกชกเข้ามา มันก็รู้สึกราวกับว่าทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยพวกมัน หมัดนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แต่แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่มีแผนจะหนี เขากำมือขวาเป็นกำปั้นและชกหมัดกลับไปใส่อีกฝ่าย
เปลวไฟที่นำพาหมัดไปนั้นดูเหมือนกับปีศาจ พวกมันถูกย้อมด้วยพลังเขี้ยวที่น่ากลัว ขณะที่พุ่งตรงไปปะทะกับหมัดของผู้หญิงในชุดเกราะ
หมัดของทั้งคู่ปะทะกัน แต่พลังภายในหมัดของหานเซิ่นแตกสลาย และหมัดหยกก็ชนเข้ากับหมัดของหานเซิ่นด้วยแรงมหาศาล
ตูม!
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่ไร้ขีดจำกัดจากหมัดหยกนั้น มันเป็นเหมือนกับซูเปอร์โนวาที่ปลดปล่อยแรงมหาศาลออกมา จนทำให้หานเซิ่นกระเด็นออกไป
หานเซิ่นใช้ขาของตัวเองลากผ่านหินและดินเพื่อพยายามทรงตัว แต่พลังที่ส่งเขากระเด็นออกไปนั้นรุนแรงเกินไป ขาของเขาลากไปกับพื้นเป็นระยะทางไกลหลายร้อยเมตรจนกระทั่งไปชนเข้ากับกำแพงหิน
และในขณะที่กำแพงหินถล่มลงมา หานเซิ่นก็ยังคงยืนอยู่ได้ แต่มือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ กระดูกแตกร้าว
“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามผู้หญิงในชุดเกราะอีกครั้ง
หมัดของผู้หญิงในชุดเกราะเป็นอะไรที่แปลกประหลาด มันหมือนเป็นบางสิ่งที่ไร้เทียมทาน ซึ่งแม้แต่บางคนที่แข็งแกร่งอย่างหานเซิ่นก็ไม่สามารถทนต่อพลังที่มันปลดปล่อยออกมาได้
หลังจากที่หานเซิ่นรับหมัดนั้น เขาก็รู้ตัวว่าผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่มาร์ควิสคนหนึ่งเหมือนกับเขา
ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก เพราะด้วยพลังที่เธอมีอยู่ มันก็เป็นไปได้สูงมากที่เธอจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไผ่เดียวดายซะอีก
หานเซิ่นคิดว่าอาจจะต้องตอบโต้ด้วยเบรกซิกซ์สกาย นั่นน่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาต่อสู้กับหมัดของเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เจ้าทนหมัดเอ็กซ์ตรีมคิงไฟนอลของข้าได้อย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนบอกว่าเก่งกาจทัดเทียมกับไผ่เดียวดาย เจ้าผ่าน”
ดวงตาสีทองของผู้หญิงในชุดเกราะจ้องมาที่หานเซิ่น เสียงของเธอเย็นชา แต่มันก็ยั่วยวนใจมากๆเช่นกัน “ข้าจะมอบโอกาสในการเป็นหนึ่งในอัศวินให้กับเจ้า”
“เจ้าเป็นคนของเอ็กซ์ตรีมคิง?” หานเซิ่นมองผู้หญิงในชุดเกราะด้วยความตกใจ
“ใช่” ผู้หญิงในชุดเกราะตอบ
“นี่เจ้าเดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่อสร้างปัญญากับให้ข้าเนี่ยนะ?” หานเซิ่นถาม
ผู้หญิงในชุดเกราะตอบอย่างไร้โทนเสียง “ข้ามาที่นี่ด้วยธุระเกี่ยวกับอี๋ซา ข้ากำลังจะจากไป แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อดูบุคคลที่ถูกบอกว่าแข็งแกร่งเทียบเท่ากับไผ่เดียวดาย เจ้าจะต้องผ่านอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงอยากยื่นคำเชิญให้กับเจ้า”
“ต้องขอโทษด้วย แต่ข้ายังไม่มีแผนที่จะทอดทิ้งแนร์โรว์มูน”
หานเซิ่นยังคงระมัดระวังตัวตลอดขณะที่พูดออกมา เขาเตรียมตัวสำหรับความเป็นไปได้ที่เธออาจจะโจมตีเขาอีกครั้ง
แต่ผู้หญิงในชุดเกราะไม่มีแผนจะทำแบบนั้น เมื่อหานเซิ่นปฏิเสธ เธอก็หันหลังและเดินจากไป
หานเซิ่นมองดูเธอเดินจากไปขณะที่เส้นผมสีทองยาวปลิวไสวด้านหลังของเธอ แต่ภาพของเธอย้อมไปด้วยความโศกเศร้าราวกับจะบอกหานเซิ่นว่าเขาไม่รู้ตัวว่าเพิ่งจะพลาดอะไรไป
‘เป็นผู้หญิงที่ยิ่งยโสอะไรขนาดนี้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง