“ถ้าท่านไม่ได้พูดอะไรออกมา ข้าก็คงจะคิดว่าพวกเราอาจจะตายจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้วว่าเราจะไม่ตาย” หานเซิ่นพูดอย่างมั่นใจ
“หนุ่มน้อย แค่คำพูดใครก็ทำได้ ถ้าเจ้ามั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ เจ้าก็ขึ้นมาเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง” หญิงชรามองเขาด้วยความดูถูก
“แน่นอน” หลังจากที่หานเซิ่นพูด เขาก็เดินขึ้นไปบนวิถีแห่งชีวิตและความตายในทันที
หานเซิ่นไม่ได้ทำแบบนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าหญิงชราพูดผิด หรือเพื่อจะช่วยเหลือไป๋เวย ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือสัมผัสถึงพลังของวิถีแห่งชีวิตและความตาย พลังแบบนี้เป็นอะไรที่ยากจะได้เห็นแม้แต่ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า ดังนั้นเขาคงจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้สัมผัสพลังกับแบบนั้น หานเซิ่นอยากจะสัมผัสว่ามันจะให้รู้สึกยังไงเมื่อเดินไปบนวิถีแห่งชีวิตและความตาย
ถ้าพลังของวิถีแห่งชีวิตและความตายเป็นของจริงไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตาล่ะก็ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่บางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างการพลังในการควบคุมเวลา เพราะถ้ามันเป็นแค่พลังแห่งกาลเวลา แบบนั้นแล้วความเร็วในการเร่งเวลาก็ควรจะไปแค่ทิศทางเดียวและตายตัว แต่ทุกสิ่งมีชีวิตนั้นมีอายุขัยที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นมันไม่มีทางที่บันไดหินแต่ละขั้นจะเร่งอายุขัยเพื่อนำไปสู่ความตายเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายเหมือนกัน มีเพียงแค่เหตุแห่งชีวิตและความตายเท่านั้นที่จะให้ผลแบบนั้นได้ ถ้าหานเซิ่นสามารถลิ้มรสพลังนั้นได้ มันก็จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขา
“พี่ชาย นี่มันเสี่ยงเกินไป” หานเหยียนดึงแขนของหานเซิ่นเอาไว้ด้วยความกังวล ถึงแม้หานเหยียนจะรู้ว่าวิจารณญาณของหานเซิ่นมักจะถูกเสมอ แต่นี่ก็เป็นอะไรที่สำคัญ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เธอจะหวาดกลัว
“ไม่เป็นไร พี่แค่จะไปดูสักหน่อยเท่านั้น” หานเซิ่นสัมผัสหานเหยียนที่หัวและกะพริบตา หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปที่บันไดหิน
เป่าเอ๋ออยากจะตามหานเซิ่นไป แต่หานเซิ่นส่งเป่าเอ๋อให้กับหานเหยียน ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปตามลำพัง
เมื่อหานเซิ่นเหยียบบนขั้นแรกของบันไดหิน เขาก็ใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง
“เราคิดถูก มันคล้ายคลึงกับวิชาจำลองนภา แต่ไม่รู้เพราะอะไรมันแตกต่าง มันคืออีกเหตุของพลัง”
ในขณะที่หานเซิ่นเปิดใช้งานออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็มองเห็นสสารที่เกือบจะโปร่งใสเข้ามาล่ามตัวของเขา
ทุกก้าวที่หานเซิ่นก้าวออกไป เขาเห็นโซ่สสารล่ามตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นรู้ว่าเส้นทางที่เดินไปไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตา แต่มันเป็นพลังอันน่ากลัวที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า
หานเซิ่นเดินหน้าต่อไป และขณะที่เดินไปนั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากร่างหนุ่มของเขากลายเป็นร่างวัยกลางคน และจากร่างวัยกลางคนก็กลายเป็นร่างชรา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่เขารู้สึกได้ถึงอายุขัยของเขาที่กำลังลดลงไป
สิ่งมีชีวิตภายนอกก็อตแซงชัวรี่ไม่สามารถเห็นอายุขัยของตัวเองได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในก็อตแซงชัวรี่สามารถเห็นมันได้เสมอ
หานเซิ่นมีอายุขัยอยู่หนึ่งพันปี และจากความถี่ของการเพิ่มอายุในตอนนี้ บันไดขั้นสุดท้ายจะทำให้อายุขัยที่เหลืออยู่ของเขาลดลงมาอยู่ที่เลขศูนย์แบบพอดิบพอดี หานเซิ่นลองก้าวถอยหลังลงเล็กน้อยและเมื่อเขาทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าอายุขัยที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเส้นทางที่เป็นวิถีแห่งชีวิตและความตายอย่างแท้จริง ตอนนี้หานเซิ่นนับถืออันดายอิ้งเบิร์ดอย่างมาก พลังที่สุดยอดแบบนี้เป็นบางสิ่งที่คู่ควรต่อการสรรเสริญ
หานเซิ่นพยายามใช้พลังของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อจะอ่านมัน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหน ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปริศนา เขาไม่สามารถวิเคราะห์พลังอันลึกลับนั้นได้ เขารู้สึกผิดหวัง แต่เขาก็ยังคงเดินขึ้นไปบันไดหินต่อไป
ยิ่งเขาเดินต่อไปมากเท่าไหร่ พลังที่เขารู้สึกถึงก็รุนแรงยิ่งขึ้น หานเซิ่นมองเห็นมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นไม่หยุดเดินจนกระทั่งเขาไปถึงบันไดขั้นเดียวกับไป๋เวย ตอนนี้หานเซิ่นแก่มากๆเช่นเดียวกับไป๋เวย เพียงแค่การพูดก็มากพอที่จะทำให้เขาหอบ
“นี่ไม่ใช่ธุระของเจ้า ทำไมเจ้าถึงเดินขึ้นมาบนนี้?”
ไป๋เวยมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เธอไม่รู้ว่าเขาพยายามจะเล่นเป็นฮีโร่หรืออะไรกันแน่
“ข้าแค่ต้องการพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเองท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดต่อไป
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาแก่มากๆ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังสูญเสียพลังของตัวเองเช่นกัน ตอนนี้การก้าวแต่ละครั้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ
ไป๋เวยมองหลังของหานเซิ่นขณะที่เขาเดินต่อไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
หานเซิ่นเดินไปข้างหน้าอีกก้าว และมันก็เหลือบันไดอีกเพียงแค่ 2 ขั้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ไม่ลังเล เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและก้าวออกไปอีกก้าว หลังจากนั้นเขาก็หยุดนิ่งไป
เขามองอายุขัยที่เหลืออยู่ของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ถูกลดลงมาเหลือเพียงแค่หนึ่ง โดยปกติแล้วคนๆหนึ่งจะตายหลังจากที่ก้าวขึ้นบนบันไดหินขั้นสุดท้าย
“อันดายอิ้งเบิร์ดมีพลังที่แข็งแกร่งมากๆ” หานเซิ่นพูดอย่างเฉยเมย ในตอนนี้เขารู้สึกนับถืออันดายอิ้งเบิร์ดอย่างแท้จริง
หญิงชราหลี่ตาของนาง “ข้าไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือพลังเหตุและไม่ใช่แค่พลังกาลเวลาธรรมดาๆ”
“น่าเสียดายที่ข้าคงจะไม่ได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดในขณะที่ยังมีชีวิต… ข้าหวังจริงๆว่าจะ… แค่กๆ…” หานเซิ่นจริงจังกับสิ่งที่เขาพูดออกไป ยอดฝีมือแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพบเจอได้ง่ายๆ
ถ้าเขาได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดใช้พลังเหตุอันลึกลับนั้น บางทีเขาก็อาจจะสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงคิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าเสียดายอย่างมากที่ไม่ได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดใช้มัน สสารลูกโซ่ที่เขาเห็นในตอนนี้มันเบลอเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากพวกมันได้
“ถ้าเจ้ารู้ว่ามันแข็งแกร่งถึงขนาดไหน นั่นหมายความว่าเจ้าจะเดินขึ้นมาบนบันไดขึ้นสุดท้ายใช่ไหม?” หญิงชรายิ้มให้กับหานเซิ่น มันยากที่จะจิตนาการได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“แน่นอนว่าข้าต้องการจะก้าวไป” หานเซิ่นพูดอย่างมั่นใจ แต่เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาแก่มากๆ เสียงของเขาจึงฟังดูไม่มั่นใจนัก
“โอ้ เจ้าจะบอกว่าพลังของอันดายอิ้งเบิร์ดฆ่าเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หญิงชรามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ท่านฆ่าข้าได้ แต่ไม่ใช่ด้วยบันไดหินนี้” หานเซิ่นพูด
“ถ้านั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด แบบนั้นก็เชิญก้าวขึ้นมา” หญิงชรายิ้มให้กับหานเซิ่น
หานเหยียนและคนอื่นมองดูหานเซิ่นด้วยความกังวล ถ้าเขาเดินไปข้างหน้าอีกก้าวและเป็นเหมือนกับที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ หานเซิ่นก็จะตาย
หานเซิ่นพูดเองว่าพลังของบันไดหินนี้ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตา นี้เป็นพลังเหตุที่แท้จริงที่เขากำลังต่อสู้ หานเหยียนรู้ว่าพลังเหตุนั้นน่ากลัวแค่ไหน พลังเหตุสามารถฆ่าคนได้ พวกมันไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้คนเลือดไหลออกมาเพื่อฆ่าด้วยซ้ำ
ไป๋เวยมองหานเซิ่นและแสดงสีหน้าที่ซับซ้อนออกมา ไป๋เวยเชื่อว่าหานเซิ่นรู้ว่าเธอคือใคร เธอคิดว่าหานเซิ่นทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างความประทับใจที่ดีต่อเธอ เธอเคยเห็นผู้คนมากมายทำแบบนี้เพื่อเธอมาก่อน แต่หานเซิ่นเดินไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย และเขาก็เตรียมพร้อมที่จะก้าวขาออกไป เธอมองหานเซิ่นผิดไป
ในจังหวะที่แบ่งแยกระหว่างชีวิตและความตาย ใครกันที่ยังจะสามารถกล้าหาญอยู่ได้? ใครกันที่จะยินดีเสี่ยงชีวิตของตัวเอง?
แม้แต่ไป๋เวยเองก็ไม่กล้าทำแบบนั้น เธอมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและคิด ‘เขากำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขึ้นสุดท้ายอย่างนั้นหรอ? นี่เขามั่นใจหรือว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่การคาดเดา?’
ขณะที่ทุกคนมองดู หานเซิ่นยกขาของเขาขึ้นและเตรียมจะเหยียบลงไปบนบันไดขั้นสุดท้าย
หญิงชราดูแปลกๆ และหานเหยียนก็ลืมที่จะหายใจ
หวงฟูจิ้งดูสงบนิ่ง แต่เธอหมวดคิ้วและคิดกับตัวเอง ‘อะไรกันที่ทำให้เขามั่นใจว่าจะไม่ตายจากการเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย?’
เธอรู้ว่าหานเซิ่นไม่ใช่คนที่จะยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองโดยไม่มีเหตุผล ถ้าเขากล้าเดินขึ้นไปบนนั้น เขาก็ต้องรู้ว่าเขาจะไม่ตาย
ขณะที่ทุกคนมองดู หนึ่งในขาของหานเซิ่นเหยียบลงไปบนบันไดขึ้นสุดท้าย เขาใช้พลังหยดสุดท้ายเพื่อนำเอาขาอีกข้างขึ้นมา เขาขึ้นมายืนอยู่ข้างๆเจ้ากระต่ายที่ตายไปก่อนหน้านี้
ตูม!
ทั้งบันไดหินส่องสว่างขึ้นมา ไฟที่โปร่งแสงลุกโชติช่วงทั่วบันได มันเป็นเหมือนกับกองไฟขนาดใหญ่มากๆ