ทันใดนั้นเจ้ากระต่ายที่นอนตายอยู่บนพื้นจู่ๆก็เคลื่อนไหว ถึงแม้มันจะยังดูแก่ แต่มันก็วิ่งเข้าไปหาเท้าของหญิงชราได้อย่างรวดเร็ว ไฟโปร่งใสเผาผลาญขั้นบันได แต่มันไม่มีความร้อน และพวกมันก็เริ่มลอยสูงขึ้นสู่อากาศ
หานเซิ่น ไป๋เวยและเจ้ากระต่ายถูกห่อหุ้มในไฟโปร่งใสนั่น สุดท้ายแล้วพวกมันทั้งหมดก็เริ่มลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ขณะที่เปลวไฟเผาผลาญพวกเขา ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนที่พวกเขาจะก้าวขั้นมาบนบันไดหิน
หลังจากนั้นเปลวไฟที่โปร่งใสก็ก่อตัวกันเป็นรูปร่างของนกโปร่งใสบนอากาศ นกตัวนั้นดูเหมือนกับฟินิกซ์ มันกรีดร้องและพยักหน้าให้กับหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็บินออกไปจากภูเขาซาลาเปาและหายตัวไป
“หนุ่มน้อย เจ้าชนะ” หญิงชรามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงได้มั่นใจว่าจะไม่ตาย?”
หานเซิ่นชี้ไปที่เจ้ากระต่ายถัดจากหญิงชรา “ท่านไม่อนุญาตให้ไป๋เวยออกไปจากวิถีแห่งชีวิตและความตาย แต่ท่านไม่ได้หยุดพวกเราจากการใช้สัตว์ตัวหนึ่งเพื่อทดสอบเรื่องนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเรื่องนั้นจะไม่เป็นผลเสียต่อท่าน อึกอย่างคือการแสดงของมันค่อนข้างแย่ พวกข้าแค่เตะมันเท่านั้น แต่มันกลับวิ่งตรงขึ้นไปบนบันไดโดยไม่แม้แต่จะคิดหันกลับไปมองข้างหลัง นั่นเป็นอะไรที่แปลกมากๆ มันทำให้ข้าคิดว่าท่านเป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตตัวนี้”
“เพราะเรื่องแค่นั้นหรอที่ทำให้เจ้ากล้าขึ้นมาจนถึงตรงนี้หรือ?” หญิงชรามองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ
การคาดเดาของเขาถูกต้อง แต่นั่นก็ยังยากจะตัดสินถึงความเป็นความตาย ถึงแม้หานเซิ่นจะเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะต้องกังวลบ้าง น้อยคนนักที่จะกล้าเดินขึ้นมาจนถึงด้านบน
หานเซิ่นสายหัว “ที่สุดแล้วการคาดเดาไม่ได้สำคัญอะไร ที่สำคัญที่สุดก็คือท่านเห็นว่ามันยังไม่ตาย การแสดงของมันถือว่าดี และมันก็รู้จักวิธีที่จะซ่อนพลังชีวิตของตัวเอง แต่แน่นอนว่ามันซ่อนจากสายตาของข้าไม่ได้”
ไป๋เวยที่ตอนนี้กลับมาเป็นหญิงสาวอีกครั้งเดินขึ้นบันไดขั้นที่เหลืออยู่ เธอมองไปที่กระตายของหญิงชราและคิดอะไรบางอย่าง
“แบบนี้นี่เอง ข้าไม่ควรทำอะไรแบบนั้น”
หญิงชรายื่นมือของเธอออกมา หลังจากนั้นเจ้ากระต่ายก็กระโดดเข้าไปในอกของเธอ และหลังจากที่ลูบหัวของมัน เธอก็พูดขึ้นมา
“เนื่องจากพวกเจ้าทั้ง 2 เดินบนวิถีแห่งชีวิตและความตาย พวกเจ้าถือว่าผ่านการทดสอบของอันดายอิ้งเบิร์ด พวกเจ้าเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้ารับสิ่งของนั้นไปได้” หญิงชราพูดอย่างนั้น แต่เธอไม่ได้เคลื่อนไหว เธอแค่ยิ้มให้กับพวกเขา
“ของนั่นอยู่ที่ไหนกัน?” ไป๋เวยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
หญิงชรายังคงยิ้ม “สิ่งของนั่นอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าทั้ง 2 เห็นมันมาสักพักหนึ่งแล้ว”
“ภูเขาลูกนี้น่ะหรอ?” ไป๋เวยตกตะลึงและมองไปรอบๆภูเขา
หญิงชราพยักหน้าและพูด “ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่าเอ็กซ์ตรีมเดด มันคือสมบัติระดับเทพเจ้า อันดายอิ้งเบิร์ดกับราชาไป๋ค้นพบภูเขาลูกนี้ และพวกเขาก็ต่อสู้กันเพื่อแย้งชิงมัน แต่ไม่มีฝ่ายไหนชนะ ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บภูเขาเอาไว้ที่เดิม อันดายอิ้งเบิร์ดเป็นคนที่คอยดูแลมัน แต่ที่สุดแล้วนางได้ตายไป และนางก็ถูกฝังอยู่บนภูเขา ภูเขานั้นไร้ประโยชน์สำหรับสิ่งมีชีวิต บางทีราชาไป๋ก็อาจจะรู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มาที่นี่ด้วยตัวเองและเลือกส่งเจ้ามาเป็นตัวแทน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมท่านพ่อถึงส่งข้ามาที่นี่?” ไป๋เวยถาม
หญิงชราพูดอย่างเฉยเมย “อันดายอิ้งเบิร์ดเข้ายึดภูเขาเอ็กซ์ตรีมเดดก็จริง แต่นางไม่ได้เอาไปทุกสิ่งทุกอย่าง นางยังคงเหลือสิ่งของบางอย่างเอาไว้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าจะเอาพวกมันไปได้หรือไม่”
หลังจากนั้นหญิงชราก็ใช้ไม้เท้าของเธอชี้ไปที่หอคอยเก่าๆด้านหลัง ลูกไฟพุ่งออกมาจากไม้เท้าของเธอและเข้าไปชนกับหอคอย หอคอยลุกเป็นไฟและมันก็ถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปไม่นานมันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน สายลมพัดพวกมันกระจัดกระจายออกไปทั่ว แต่ในจุดที่หอคอยเคยตั้งอยู่ ตอนนี้กลับมีของบางสิ่งอยู่
พวกเขาทุกคนมองไปที่สิ่งของพวกนั้นและรู้สึกแปลกเมื่อได้เห็นมัน สิ่งของนั้นทำขึ้นมาจากหญ้าแห้ง ในหลายๆด้านมันก็ดูเหมือนกับรังนก มันไม่ได้ดูงดงามอะไร จริงๆแล้วมันดูค่อนข้างหยาบ มันมีความกว้างหลายเมตร และผู้คนหลายคนก็เข้าไปนอนข้างในได้
“อันดายอิ้งเบิร์ดทิ้งสิ่งนี้เอาไว้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย
หญิงชรามองไปที่รังนกและพูดด้วยความหลงใหล
“อย่าได้ประเมินค่าของมันต่ำ นี่คือที่ที่อันดายอิ้งเบิร์ดกำเนิด หญ้าแห้งเป็นสิ่งพิเศษมากๆ และมันก็ถูกเรียกว่าเอฟเวอร์กราส ถ้าพวกเจ้าเอามันไปได้ พวกเจ้าจะได้รู้ถึงผลประโยชน์ที่มันมอบให้อย่างรวดเร็ว”
ไป๋เวยไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่เดินไปตรงหน้ามันและยื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมา แต่ทว่ารังนกที่ดูเหมือนจะทำขึ้นมาจากหญ้าแห้งนั้นหนักราวกับภูเขา ไป๋เวยพยายามจะยกมันขึ้นหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว เธอทำไม่ได้แม้แต่จะดึงหญ้าแห้งออกมา
หญิงชรายิ้ม “อันดายอิ้งเบิร์ดเกิดที่นี่ และนั่นก็คือที่ที่มันอยู่อาศัยเป็นเวลากว่าล้านปี พลังของมันสถิตอยู่บนรังนกนี้ แม้แต่อาวุธระดับเทพเจ้าก็เทียบกับสิ่งนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนย้าย”
ไป๋เวยขมวดคิ้ว ร่างกายของเธอเริ่มเรืองแสงสีทองออกมา และมันก็ทำให้เธอดูแข็งแกร่งกว่าปกติมาก
หานเซิ่นแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าเธอมีพลังแบบนี้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นไป๋เวยก็ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายรังของอันดายอิ้งเบิร์ดได้แม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนจะได้ผล สิ่งของระดับเทพเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่มาร์ควิสคนหนึ่งจะเป็นเจ้าของได้ ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ไป๋เวยจะนำมันกลับไป
“อันดายอิ้งเบิร์ดทิ้งของมีค่าที่สุดเอาไว้ ถ้าเจ้านำมันกลับไปไม่ได้ อย่างนั้นแล้วเจ้าก็จะโทษคนอื่นที่ตัวเองไร้ความสามารถไม่ได้” หญิงชรายิ้ม
ไป๋เวยขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร เธอจ้องมองไปที่รังนก แต่เธอยังคงไม่รู้ว่าจะเอารังนกกลับไปได้ยังไง
หานเซิ่นมองไปที่หญิงชราและถาม “คนๆนั้นจำเป็นต้องผ่านวิถีแห่งชีวิตและความตายเพื่อได้รับการยอมรับจากอันดายอิ้งเบิร์ดก่อนใช่ไหม? เมื่อถึงตอนนั้นคนๆนั้นถึงจะเอารังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดกลับไปได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นไป๋เวยก็หันกลับมามองหญิงชรา สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป แต่เธอไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบจากหญิงชรา เพราะลึกๆในใจเธอรู้คำตอบเรียบร้อยแล้ว
หานเซิ่นเดินไปตรงหน้ารังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดและสัมผัสที่ขอบของมัน ทันทีที่เขาสัมผัสมัน รังนกก็เริ่มบินขึ้นมาพร้อมกับย่อขนาดเล็กลง มันกลายเป็นสิ่งที่เล็กพอๆกับมือคน และมันก็บินไปอยู่บนมือของหานเซิ่น
“อย่างนี้นี่เอง” หานเซิ่นส่งรังนกให้กับไป๋เวย
แต่ทันทีที่หานเซิ่นปล่อยมันไป รังนกก็ร่วงลงกับพื้นราวกับก้อนหินยักษ์ ไป๋เวยพยายามจะยกมันกลับขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถหยิบมันขึ้นมาได้