หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่งแต่เขาอยากจะจับกิเลนโลหิต ราชินีจิ้งจอกนั้นคิดว่านั่นความคิดที่บ้าบอสิ้นดี
กิเลนโลหิตถือเป็นซีโน่เจเนอิคระดับราชันที่แข็งแกร่งที่สุดตัวหนึ่ง มันอาจจะไม่พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพด้วยซ้ำ นอกจากนั้นมันยังกำเนิดภายในไวท์โบนเฮลล์
แต่เนื่องจากเธอไม่มีอะไรจะทำ เธอจึงคิดว่าแบบนั้นก็อาจจะช่วยขจัดความเบื่อไปได้สักระยะหนึ่ง
หลังจากที่หานเซิ่นเข้าไปในไวท์โบนเฮลล์อีกครั้ง เขาก็ตรงไปที่ยอดภูเขาที่เหมือนกับดอกบัว ถ้าทำอะไรกิเลนโลหิตไม่ได้จริงๆ เขาก็คิดจะฝึกวิชาโลหิตชีพจรแทนด้วยความหวังที่จะทำลายการป้องกันของปราสาท
ราชินีจิ้งจอกยืนอยู่ตรงหน้าประตูโครงกระดูกนรก เธอมองดูการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น หานเซิ่นมีร่างโกสต์โบน ซึ่งในสายตาของกิเลนโลหิตแล้วนั่นถือเป็นสารอาหารที่สมบูรณ์แบบ บางสิ่งที่น่าสนใจจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถ้ากิเลนโลหิตสัมผัสได้ถึงการมาของเขา
และมันก็เป็นอย่างที่ราชินีจิ้งจอกคิด เมื่อหานเซิ่นอยู่ห่างออกไปจากยอดภูเขาดอกบัวแค่ 50 ไมล์ มันก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา
หลังจากนั้นกิเลนโลหิตก็ออกมาจากยอดภูเขาดอกบัวพร้อมกับเมฆสีแดงของมัน ดวงตาสีเลือดของมันจ้องไปที่หานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็กระโดดเข้าหาหานเซิ่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ประหลาด
หานเซิ่นเห็นกิเลนโลหิตพุ่งมาหาเขาราวกับสายฟ้า พลังที่น่าสะพรึงกลัวตรงเข้ามาหาเขา และเขาไม่สามารถเทเลพอร์ได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองออกมา
กรงเล็บของกิเลนโลหิตห่อหุ้มด้วยแสงสีแดง พวกมันพุ่งลงมาใส่ใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองและทิ้งรอยลึกเอาไว้ มันเกือบจะทำลายใบเสมาในทันที ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หานเซิ่นหันหลังกลับและวิ่งหนีไป กิเลนโลหิตนั้นแข็งแกร่งกว่าที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่ระดับราชัน แต่มันก็อาศัยอยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ สิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะมันได้
ราชินีจิ้งจอกมองดูหานเซิ่นใช้โล่สีทองในการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เธอหัวเราะออกมา
“ตอนนี้เจ้ายังอยากจะจับมันมาฝึกให้เชื่องอีกไหม?”
หานเซิ่นเห็นว่ากิเลนโลหิตดูเหมือนจะหวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอก และด้วยเหตุนั้นมันจึงเลิกไล่ล่าเขา หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เขาเก็บใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองกลับไปและพูด “ให้ข้าได้คิดวิธีที่ดีกว่านี้”
ราชินีจิ้งจอกหัวเราะ เธอกลับไปที่ปราสาทขณะที่หานเซิ่นนั่งอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรก เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะรับมือกับกิเลนโลหิต
กิเลนโลหิตนั้นคำรามใส่หานเซิ่นจากระยะไกล พลังโลหิตของมันระเบิดออกในวงกว้าง ขณะที่บนท้องฟ้าเมฆสีแดงก่อตัวหนาและเข้มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นฝนก็เริ่มจะตกลงมาอย่างหนัก
หานเซิ่นนั่งอยู่ท่ามกลางสายฝนเลือด เขาจ้องมองไปที่กิเลนโลหิตและขมวดคิ้ว เขาใช้วิญญาณอสูรเนตรม่วงเพื่อตรวจดูมัน
กิเลนโลหิตนั้นคล้ายคลึงกับโกสต์โบนอย่างมาก ทั้งคู่กำเนิดภายในไวท์โบนเฮลล์เหมือนกัน แต่กิเลนโลหิตไม่ใช่หนึ่งในเผ่าโบน พลังของมันจึงต่างไปจากของขุนพลโกสต์โบนโดยสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังของขุนพลโกสต์โบนเพื่อทำให้กิเลนโลหิตเชื่อง และถ้าเขาพยายามทำแบบนั้นมันก็จะถูกกลืนกิน
หานเซิ่นนั่งอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรกและเริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจร ถ้าเขาไม่สามารถทำให้เจ้ากิโลนโลหิตเชื่องได้ อย่างนั้นแล้วเขาก็ต้องพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุกเพื่อทำลายพลังป้องกันของปราสาท
ภายในร่างกายของหานเซิ่นมีพลังโกสต์โบนระดับเทพเจ้าหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก หานเซิ่นใช้วิชาโลหิตชีพจรของเขาดูดซับมันเข้าไปอย่างช้าๆเพื่อฝึกวิชาโลหิตชีพจร
พลังระดับเทพเจ้านั้นหนาแน่นมากๆ แค่พลังเพียงนิดเดียวก็สามารถทำให้หานเซิ่นฝึกได้ตลอดทั้งเดือน มันทำให้วิชาโลหิตชีพจรพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน หานเซิ่นเชื่อว่าขุนพลโกสต์โบนนั้นเกือบจะเป็นคนดี
ราชินีจิ้งจอกแวะเข้ามาเยี่ยมหานเซิ่นอยู่หลายครั้งเพื่อยั่วยวนเขา แต่หานเซิ่นไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ มันทำให้เธอรู้สึกเบื่อยิ่งกว่าที่เคยและการมาเยี่ยมของเธอก็น้อยครั้งลงเรื่อยๆ
ราชาจิ้งจอกนั้นชื่นชอบความสะอาด ด้วยเหตุนั้นสถานที่อย่างไวท์โบนเฮลล์จึงไม่ใช่ที่ที่เธอจะอยู่เป็นเวลานาน
หานเซิ่นนั่งอยู่บนกองหัวกะโหลกและฝึกวิชาโลหิตชีพจรต่อไปวันแล้ววันเล่า เมื่อไหร่ก็ตามที่กิเลนโลหิตออกมาเพื่อดูดซับพลังงานจากกระดูกและเลือดเข้าไป มันก็จะคำรามใส่หานเซิ่น แต่ดูเหมือนมันจะยังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง มันไม่เคยพยายามที่จะเข้ามาใกล้ประตูโครงกระดูกนรก มันแค่คำรามใส่หานเซิ่นจากระยะไกลเท่านั้น
ด้วยการช่วยเหลือของพลังระดับเทพเจ้า วิชาโลหิตชีพจรของหานเซิ่นนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
‘เมื่อวิชาโลหิตชีพจรกลายเป็นระดับดยุก ธาตุของมันจะคืออะไรกันแน่’
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของธาตุวิชาโลหิตชีพจร
เขาคิดว่าธาตุของวิชาโลหิตชีพจรนั้นเป็นอะไรที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายไม่ควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่ถูกออกแบบมาเพื่อการมีลูก นั่นไม่สมเหตุสมผล
แต่วิชาโลหิตชีพจรนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงยังฝึกต่อไปและไม่ยอมแพ้กับมัน
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน หานเซิ่นก็ได้ดูดซับพลังโกสต์โบนที่อยู่ในร่างกายหมดไปแล้ว 5 เปอร์เซ็นต์ และมันก็ถึงเวลาที่วิชาโลหิตชีพจรของเขาจะวิวัฒนาการไปสู่ระดับดยุก
‘เมื่อวิชาโลหิตชีพจรพัฒนาไปสู่ระดับดยุก หวังว่ามันจะมีธาตุที่เราเอาไปใช้ในการต่อสู้ได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หานเซิ่นใช้วิชาโลหิตชีพจรอีกครั้ง หลังจากนั้นลมปราณสีแดงก็ปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่ง มันทำให้แก้มของหานเซิ่นดูแดงกล่ำ ซึ่งในที่สุดสีแดงก็ปกคลุมทั้งร่างกายของเขา และทำให้เขาดูเหมือนกับรูปปั้นสีแดง
ด้วยเหตุผลบางอย่างกิเลนโลหิตปรากฏตัวออกมาจากภูเขาดอกบัว มันจ้องมองหานเซิ่นที่กำลังฝึกวิชาโลหิตชีพจร และสายตาของมันก็เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากๆ
กิเลนโลหิตมักจะปรากฏตัวออกมาหลังจากที่ฝนเลือดหยุดไปแล้ว แต่ตอนนี้ฝนเลือดยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ แต่มันกลับมาออกมาจากภูเขาและจ้องมองไปที่หานเซิ่น
หานเซิ่นไม่ได้สังเกตเห็นกิเลนโลหิต นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุก เขาไม่มีเวลามามัวสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากตัวเอง
กิเลนโลหิตนั้นหวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอก และนั่นก็เป็นเหตุผลที่มันไม่อยากจะเข้ามาใกล้ประตูโครงกระดูกนรก แต่วันนี้การกระทำของมันต่างออกไป มันเดินไปมาบนยอดเขาด้วยความลังเล หลังจากนั้นมันก็กัดฟันและเริ่มเดินมาทางประตูโครงกระดูกนรก
ตอนนี้กิเลนโลหิตค่อยๆย่องไปบนพื้นกระดูกขาวอย่างลับๆล่อๆ มันขยับตัวเข้าไปใกล้กับกองหัวกะโหลกขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่มีเจตนาที่จะทำให้หานเซิ่นรู้สึกตัว
ร่างกายของหานเซิ่นกลายเป็นคริสตัลสีเลือด ตอนนี้มันเป็นจังหวะที่สำคัญที่เขาจะกลายเป็นระดับดยุก พลังโกสต์โบนนั้นถูกดูดซับเข้าไปเรื่อยๆเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับวิชาโลหิตชีพจร มันทำให้พลังโลหิตภายในร่างกายของหานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้น