ถึงแม้หานเซิ่นจะกำลังอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ แต่เจ้ากิเลนโลหิตก็ยังคงระมัดระวังอย่างมากในการเดินเข้ามา ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็สัมผัสได้ถึงการมาของมัน และนั่นทำหานเซิ่นสงสัยว่าควรจะเรียกวิญญาณอสูรใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาหรือตะโกนเรียกราชินีจิ้งจอกดีไหม
เหตุผลที่หานเซิ่นมาวิวัฒนาการที่นี่ นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วเขาไม่อยากให้ราชินีจิ้งจอกรู้ว่าเขาเลื่อนระดับขึ้นไป
หานเซิ่นไม่ได้คิดเอาไว้ว่ากิเลนโลหิตจะเข้ามาใกล้เขา เนื่องจากตอนนี้มันไม่ใช่เวลาปกติที่กิเลนโลหิตจะออกมาจากยอดเขาดอกบัว แต่เจ้ากิเลนโลหิตกลับปรากฏตัวออกมาจริงๆ และมันก็กล้าเดินเข้ามาใกล้อีกด้วย
แต่เมื่อเห็นท่าทางลับๆล่อๆของมัน หานเซิ่นก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร เขาอยากจะดูสถานการณ์ต่อไปอีกหน่อย
เจ้ากิเลนโลหิตเดินเข้ามาที่กองหัวกะโหลกอย่างระมัดระวัง มันดูจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
เมื่ออยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร เจ้ากิเลนโลหิตก็เริ่มหาที่กำบัง มันยื่นหัวออกมามองหานเซิ่น แต่มันไม่ได้เข้าไปใกล้มากกว่านั้น
หานเซิ่นดำเนินการวิวัฒนาการต่อไป ขณะที่คอยจับตาดูกิเลนโลหิตไปด้วย ถ้ามันทำอะไรบางอย่าง เขาก็จะเรียกราชินีจิ้งจอกและใช้ใบเสมาราชาแมลงปีศาจ
แต่ทั้งหมดที่เจ้ากิเลนโลหิตทำก็คือมองดูเท่านั้น มันมองมาที่หานเซิ่นตาไม่กระพริบ แต่มันไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านั้น
หานเซิ่นเชื่อว่านั่นเป็นเพราะมันหวาดกลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้สมาธิไปกับการวิวัฒนาการ
เลือดภายในตัวของเขากำลังเดือนและหัวใจของเขาก็เต้นดังราวกับฟ้าร้อง มันเป็นเหมือนกับเครื่องจักร
เมื่อหัวใจของเขาสูบฉีด มันก็ทำให้เลือดภายในตัวหมุนวน อุณหภูมิภายในเลือดของเขาเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อมันถึงจุดวิกฤต หานเซิ่นก็ไม่มีเวลาจะจับตามองดูเจ้ากิเลนโลหิตอีก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาเพื่อที่เขาจะได้ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการวิวัฒนาการ
หานเซิ่นเป็นเหมือนกับมนุษย์เลือด เลือดนั้นซึมออกมาจากผิวของเขาและแพร่กระจายไปทั่วร่าง มันค่อยๆแข็งตัวเพื่อสร้างชั้นคริสตัลเลือดขึ้นมา
นั่นไม่ใช่เพราะว่ามันมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้นกับการวิวัฒนาการของหานเซิ่น แต่มันคือการที่เขาปลดปล่อยเลือดเก่าออกมาเพื่อแทนที่ด้วยเลือดใหม่ที่มีพลังประหลาดบางอย่าง เมื่อเลือดของเขาถูกเปลี่ยน พลังภายในร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยเลือดเก่ามันทำให้หานเซิ่นดูเหมือนกับหินเลือด เขานั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายของเขาจมอยู่ในความรู้สึกปิติยินดี
การพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น มันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอะไรเกิดขึ้น เลือดของเขาจากที่เป็นระดับมาร์ควิสก็กลายเป็นระดับดยุก และในที่สุดการวิวัฒนาการก็สิ้นสุด
แต่เมื่อหานเซิ่นออกมาจากสภาวะจิตใจที่ว่างเปล่า เขาก็รู้สึกว่าใบหน้าเปียก และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เจ้ากิโลนอยู่ตรงหน้าเขาและกำลังใช้ลิ้นสีแดงของมันเลียใบหน้าของเขาอยู่
“มันเข้ามาข้างในได้ยังไง… นี่ใบเสมาราชาแมลงปีศาจไม่ได้ผลอย่างนั้นหรอ…” หานเซิ่นตกใจและสะดุ้งถอยไปด้านหลัง แต่เจ้ากิเลนโลหิตก็ตามเขาไปติดๆ เพราะความเร็วของหานเซิ่นเชื่องช้ากว่ามัน
แต่เจ้ากิเลนโลหิตไม่ได้ปลดปล่อยพลังอะไรออกมา มันแค่เลียหานเซิ่นเท่านั้น หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าเจ้ากิเลนโลหิตกำลังเลียเลือดเก่าของเขา
หานเซิ่นยืนนิ่งไป เนื่องจากกลัวว่าจะไปทำให้เจ้ากิโลนโลหิตโกรธ ตอนนี้มันอยู่ใกล้กับเขามาก เขาจำเป็นต้องใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดถ้าต้องการจะหนีไป
โชคดีที่เจ้ากิเลนไม่ได้โมโห มันแค่อยากจะเลียหานเซิ่น มันเลียเลือดเก่าที่อยู่รอบๆตัวของเขาออกไป และดูมันจะเพลิดเพลินกับการทำแบบนั้นราวกับว่ามันกำลังเลียไอศกรีม
‘เจ้านี้ดูจะชอบเลือด หลังจากที่มันดื่มเลือดเก่าของเราไปหมดแล้ว มันไม่คงจะกินเลือดใหม่ของเราด้วยหรอกใช่ไหม?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเองขณะที่เหลือบมองใบเสมาราชาแมลงปีศาจ
ใบเสมาราชาแมลงปีศาจไม่ได้ถูกทำลาย แต่หานเซิ่นก็คาดเอาไว้อยู่แล้ว เพราะถ้าใบเสมาราชาแมลงปีศาจถูกโจมตีจริงๆ เขาก็ต้องรู้สึกถึงมัน
ตอนนี้ใบเสมาราชาแมลงปีศาจยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี แต่แล้วเจ้ากิเลนโลหิตก็เข้ามาอยู่ข้างใน นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน
ตั้งแต่ที่หานเซิ่นมีใบเสมาราชาแมลงปีศาจ เขาไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตไหนที่สามารถทะลุผ่านการป้องกันของใบเสมาได้โดยที่ไม่ต้องทำลายมันมาก่อน แม้แต่อสูรกาแล็กซี่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ในขณะที่หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ากิเลนโลหิตก็เสร็จสิ้นการเลียเลือดเก่าทั้งหมดของเขา หลังจากนั้นมันก็มองหานเซิ่น ขณะที่เลียริมฝีปากของตัวเอง
“กินเลือดเก่าของฉันไปจนหมดแล้ว ตอนนี้นายยังอยากกินเลือดใหม่ของฉันอีกอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรวบรวมพลังและตั้งท่าเตรียมต่อสู้
แต่ทั้งหมดที่เจ้ากิเลนโลหิตทำก็คือมองมาที่เขา หลังจากนั้นมันก็หันกลับไปที่ภูเขาดอกบัว
หานเซิ่นอึ้งไปและคิดกับตัวเอง ‘เจ้านี้เป็นอะไรของมัน?’
หลังจากนั้นเมื่อฝนสายเลือดหยุด หานเซิ่นก็พบว่าเจ้ากิเลนโลหิตไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเหมือนปกติ นั่นทำให้หานเซิ่นคิดว่ามันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ มันไม่ได้ออกมาดูดซับพลังเหมือนกับทุกครั้ง
“นี่เลือดเก่าของเราทำให้มันอิ่มแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย
ตลอดหลายวันต่อมา หานเซิ่นไม่ได้เห็นกิเลนโลหิตอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการหายตัวไปของมันมากนัก
ถึงแม้วิชาโลหิตชีพจรจะกลายเป็นระดับดยุกแล้ว หานเซิ่นก็ยังไม่คิดว่าตัวเขาเองจะเอาชนะกิเลนโลหิตได้เมื่ออยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ได้ และหานเซิ่นก็ยังไม่รู้ว่าเจ้ากิเลนโลหิตนั้นผ่านเข้ามาในใบเสมาราชาแมลงปีศาจได้ยังไง
หลังจากที่สิ้นสุดการวิวัฒนาการวิชาโลหิตชีพจรสู่ระดับดยุก หานเซิ่นก็อยากจะรู้ว่าธาตุของมันคืออะไรกันแน่ และเขาก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันจะช่วยให้เขาทำลายพลังป้องกันของปราสาทได้ไหม
หลังจากที่ใช้วิชาโลหิตชีพจร ความแข็งแกร่งทางร่างกายของหานเซิ่นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ถึงมันจะไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างกับกายหยก แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
นอกจากนั้นแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และนั่นทำให้หานเซิ่นหดหู่เล็กน้อย เขารู้สึกว่าวิชาโลหิตชีพจรมีพลังประหลาดบางอย่างอยู่ แต่เขาไม่สามารถใช้มันได้ เนื่องจากเขาไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน
“นี่คงจะไม่ใช่แค่พลังที่สืบทอดไปสู่ทายาทหรอกใช่ไหม?”
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาตัดสินใจว่าถ้ามีโอกาสจะไปถามสมาชิกของพยุหะโลหิตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจร มันจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์มากถ้ามันช่วยแค่ในเรื่องการมีลูกเพียงอย่างเดียว
พลังของวิชากายหยกและโลหิตชีพจรรวมกันเป็นอะไรที่ค่อนข้างทรงพลัง หานเซิ่นคำนวณว่าเขามีโอกาสที่จะทำลายการป้องกันของปราสาทได้
แต่เพื่อให้แน่ใจ หานเซิ่นตัดสินใจจะช่วยให้นางฟ้ากลายเป็นระดับดยุกซะก่อน ด้วยการมีพลังของนางฟ้าช่วยอีกแรง มันก็ควรที่จะเป็นอะไรที่ราบรื่น
ร่างกายของหานเซิ่นมีพลังโกสต์โบนอยู่เป็นจำนวนมาก และถ้าเขาแบ่งมันให้กับนางฟ้า มันก็จะทำให้เธอกลายเป็นระดับดยุกได้อย่างง่ายดาย แต่ขณะที่หานเซิ่นกำลังอยู่ระหว่างการทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกตัวว่าพลังของนางฟ้าเข้ากันไม่ได้กับพลังโกสต์โบน เธอไม่สามารถดูดซับมันเข้าไปได้