หานเซิ่นเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่านางฟ้ามีพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพลังโกสต์โบนนั้นเหมือนจะหวาดกลัวต่อพลังแสงหรืออะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางฟ้าจะดูดซับมันเข้าไปไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องลองดูตอนนี้เลย ศาสตร์ตงเสวียนและเรื่องราวของยีนเป็นอะไรที่ยากจะเพิ่มระดับได้ ถึงแม้เราจะมีพลังโกสต์โบนอยู่ แต่การจะทำให้พวกมันขึ้นไปสู่ระดับดยุกก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น”
หานเซิ่นกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะทำลายพลังป้องกันของปราสาท แต่ทันใดนั้นเองเจ้ากิเลนโลหิตก็วิ่งออกมาจากภูเขา
หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกตัวในตอนแรก เพราะมันวิ่งออกมาเหมือนกับทุกที มันเป็นบางสิ่งที่หานเซิ่นเคยชินเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหานเซิ่นลองสังเกตดูดีๆ เขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจ
ครั้งนี้ร่างกายของกิเลนโลหิตเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้มันมีขนาดพอๆกับวัวกระทิง แต่ตอนนี้ตัวของมันเล็กลงกว่าเดิม ในตอนนี้มันมีขนาดพอๆกับสิงโตที่โตเต็มวัยเท่านั้นเอง
สีที่ก่อนหน้านี้เป็นสีแดงเข้มตอนนี้กลายเป็นสีแดงที่สดใส และเขาบนหัวของมันก็โปร่งใสอีกด้วย
ขณะที่หานเซิ่นมองไปที่เจ้ากิเลนโลหิต เขาก็คิดว่าบางสิ่งเกี่ยวกับมันเปลี่ยนไป แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
ท่ามกลางความสับสนของหานเซิ่น เจ้ากิเลนโลหิตก็วิ่งมาอยู่ที่ตีนเขาหัวกะโหลก มันเงยหน้าขึ้นมามองที่หานเซิ่น ขณะที่ในปากของมันคาบอะไรบางอย่างอยู่
หานเซิ่นหลี่ตาและสังเกตเห็นว่ามันเป็นเถาวัลย์สีแดง บนเถาวัลย์มีผลไม้ลูกหนึ่งห้อยอยู่ มันดูคล้ายคลึงกับลูกแพร์และมันก็มีขนาดพอๆกับกำปั้น ผิวของผลไม้มีสีแดง แต่หานเซิ่นสามารถมองเห็นแกนที่อยู่ภายในของมันได้
เจ้ากิเลนโลหิตวางเถาวัลย์และตะโกนใส่หานเซิ่น มันใช้ขาดันเถาวัลย์ไปข้างหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันต้องการอะไร
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ ‘เจ้านี้รู้สึกขอบคุณที่เราปล่อยให้มันดื่มเลือดเก่าของเราอย่างนั้นหรอ?’
เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว กิเลนโลหิตก็ตะโกนใส่หานเซิ่นและใช้ขาดันเถาวัลย์ไปข้างหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็ก้าวถอยหลังและตะโกนใส่หานเซิ่นราวกับว่ามันกำลังบอกเขาว่าไม่ต้องหวาดกลัว
เมื่อเห็นอย่างนั้น หานเซิ่นก็เดินลงภูเขาหัวกะโหลกไปและหยิบเถาวัลย์ขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นรับเถาวัลย์ไปแล้ว เจ้ากิเลนโลหิตก็หันหลังและวิ่งกลับไปที่ภูเขาดอกบัว
หานเซิ่นสัมผัสได้ว่าลูกแพร์โลหิตมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง มันต้องไม่ใช่ผลไม้ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ร่างกายของเขามีพลังโกสต์โบนอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง ถ้าเขากินมันเข้าไปก่อนที่จะดูดซับพลังโกสต์โบนจนหมด
หานเซิ่นจึงปล่อยเป่าเอ๋อออกมาและตัดสินใจมอบลูกแพร์ให้กับเธอ เป่าเอ๋อดูดีใจที่ได้รับมัน และเธอก็เด็ดลูกแพร์ออกมาจากเถาวัลย์ในทันที
เมื่อลูกแพร์หลุดออกจากเถาวัลย์ เถาวัลย์สีแดงก็กลายเป็นเลือดและละลายหายไป
เป่าเอ๋อเริ่มกินลูกแพร์ในทันที น้ำของมันกระเด็นออกไปทั่วและความหวานของมันก็เข้าปกคลุมอากาศด้วยกลิ่นที่หอมหวน พลังชีวิตของมันนั้นระเบิดออกมาทุกทนทุกแห่ง
‘ไม่รู้ว่ามันเป็นผลไม้แบบนั้นกันแน่ ลูกแพร์ควรจะเติบโตบนต้นไม้ แต่ผลไม้นี้เติบโตบนเถาวัลย์ มันควรจะเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
เป่าเอ๋อกินลูกแพร่เข้าไป แต่มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เธอยังคงดูเหมือนเดิมทุกอย่าง เมื่อเธอเติบโตถึงร่างของเด็กอายุ 5-6 ขวบ การเจริญเติบโตของเธอก็หยุดนิ่งไป เธอไม่ได้เจริญเติบโตมากไปกว่านั้น
นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเป่าเอ๋ออาจจะต้องการปัจจัยภายนอกบางอย่างเพื่อไปกระตุ้นจากเติบโต
หานเซิ่นนำเป่าเอ๋อกลับเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา ถึงแม้เธอจะไม่ชื่นชอบที่แห่งนั้นก็ตาม
หานเซิ่นกลับไปที่ปราสาท เขาอยากจะตรวจสอบจุดที่มีพลังป้องกันหละหลวมอีกครั้งว่าสามารถทำลายมันเพื่อออกไปได้หรือยัง
ถ้าเขาลองทำแล้วไม่ได้ผล ราชินีจิ้งจอกก็จะเกิดเอะใจขึ้นมา นั่นจะหมายความว่าเขาไม่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้
“ไม่รู้ว่าในวันๆหนึ่งผู้ชายอย่างเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่การฝึกฝนมันสนุกกว่าการเล่นกับผู้หญิงที่งดงามหรือยังไง?”
ราชินีจิ้งจอกกำลังนอนอยู่บนเตียงหยกของเธอ ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่หานเซิ่นด้วยสายตาที่ยั่วยวน
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ ราชินีจิ้งจอกได้ใช้วิธีต่างๆเพื่อยั่วยวนเขา แต่หานเซิ่นไม่เคยทำอะไรเลย และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
เธอเป็นจิ้งจอกเปลี่ยนร่างระดับเทพเจ้า เธอมีพรสวรรค์ในการยั่วยวนผู้อื่น และยอดฝีมือระดับเทพเจ้านับไม่ถ้วนก็ถูกบังคับให้คุกเข่าใต้ชายกระโปรงของเธอ แต่หานเซิ่นไม่ทำอะไรเลย และนั่นถือเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับการดูถูกเธอ
ด้วยเหตุนั้นราชินีจิ้งจอกจึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนหานเซิ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่ได้ผล นั่นทำให้ราชินีจิ้งจอกประหลาดใจ
ถ้าผู้ชายระดับเทพเจ้าคนหนึ่งไม่หลงเสน่ห์ของเธอ นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร แต่หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง มันจึงเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจอย่างมากที่เขาไม่ทำอะไรเลย และมันก็ทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าทำลายจิตใจของโกสต์โบนได้ จิตใจของเจ้าต้องแข็งแกร่งๆไม่ต่างไปจากยอดฝีมือระดับเทพเจ้าอย่างแน่นอน” ราชินีจิ้งจอกเริ่มจะชื่นชมหานเซิ่น
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดยั่วยวนหานเซิ่น การถูกกักขังอยู่คนเดียวเป็นเวลายาวนานเป็นอะไรที่น่าเบื่อและเงียบเหงามากๆ ตอนนี้เมื่อเธอพบของเล่นใหม่ เธอจึงไม่คิดจะยอมแพ้กับมันง่ายๆ
ราชินีจิ้งจอกไม่ใช่คนที่ไม่มีความอดทน ดังนั้นเธอจึงได้คอยจับตามองหานเซิ่นเพื่อหาว่าผู้หญิงแบบไหนที่หานเซิ่นชอบ
แต่น่าเศร้าที่หานเซิ่นไม่ใช่ผู้ชายที่เรื่องมาก ราชินีจิ้งจอกพยายามยั่วยวนหานเซิ่นด้วยผู้หญิงหลายๆแบบ และเธอก็ถูกเขามองออกอย่างง่ายดาย หานเซิ่นรู้สึกชื่นชมเธอเช่นกัน แต่มันเป็นความชื่นชมที่ต่างออกไป
และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ราชินีจิ้งจอกรู้สึกแปลกๆ ด้วยประสบการณ์ของเธอ เธอรู้ว่าผู้ชายแบบเขาเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดที่จะยั่วยวน แต่หานเซิ่นสามารถทนต่อการยั่วยวนของเธอได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสับสน
แต่ราชินีจิ้งจอกไม่คิดจะยอมแพ้ และเหตุผลหลักก็เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกเบื่อ อีกอย่างคือเธออยากจะกอบกู้ความภาคภูมิใจในฐานะสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ากลับคืนมา
สายตาของหานเซิ่นไปหยุดอยู่ที่ปากของรูปปั้นปลาที่มีน้ำไหลออกมา นั่นดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดูเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าหานเซิ่นไม่มองไปตรงนั้น ราชินีจิ้งจอกก็จะไม่เกิดระแวงสงสัย
แต่หานเซิ่นจับจ้องไปที่จุดนั้นและพูดขึ้นมา “ท่านไม่เคยได้ยินคำกล่าวอย่างนั้นหรอ?”
“คำกล่าวอะไร?” ราชินีจิ้งจอกพูด
“ชีวิตมีค่าและรักมีค่ายิ่งกว่า ถ้าพวกเราตายเพื่ออิสรภาพ ทั้ง 2 อย่างก็จะสูญเสียไป ตอนนี้เมื่อข้าไม่มีอิสรภาพ แล้วข้าจะคิดถึงอะไรอย่างอื่นได้ยังไง?” หานเซิ่นถอนหายใจ
“เจ้าเป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นหรือยังไง ดังนั้นเราควรจะหาความสนุกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้?” ราชินีจิ้งจอกพูดด้วยเสียงที่ยั่วยวน
“ข้าเคย…” หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอก แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาตัวแข็งทื่อไป ดวงตาดำและขาวของเธอดูน่าดึงดูดอย่างมาก มันดูเหมือนกับว่าพวกมันมีพลังอยู่ภายใน พวกมันทำให้หานเซิ่นสูญเสียสมาธิและพบว่าตัวเองถูกดึงดูดด้วยดวงตาของเธอ