หานเซิ่นกระโดดขึ้นหลังกิเลนโลหิต หลังจากนั้นกิเลนโลหิตก็คำรามและบินเข้าไปหาพวกราชาอัศวินไอซ์บลู
“ไม่ต้องสนใจหมอนั่น ฆ่าคนอื่นก่อน” หานเซิ่นออกคำสั่งพร้อมกับแทงธันเดอร์ก็อตสไปค์เข้าใส่อัศวินไอซ์บลู
กิเลนโลหิตรับคำสั่งด้วยการคำรามออกมา
“บุก!” ราชาอัศวินไอซ์บลูออกคำสั่งกับอัศวินไอซ์บลูคนอื่นๆขณะที่เขาแกว่งดาบใหญ่เข้าใส่กิเลนโลหิต
แต่กิเลนโลหิตไม่สนใจอะไรอัศวินคนอื่น ก่อนหน้านี้เหล่าอัศวินสามารถใช้ประโยชน์จากสติปัญญาที่ต่ำของกิเลนโลหิตได้ แต่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวตามคำสั่งของหานเซิ่น พวกเขาจึงพบว่าการจะรับมือกับกิเลนโลหิตนั้นเป็นอะไรที่ยากลำบาก
“หานเซิ่น ถ้าเจ้ายังทำแบบนี้ต่อไป เจ้าจะไม่มีวันได้กลับเข้าหน่วยอัศวินไอซ์บลูอีก!”
ราชาอัศวินไอซ์บลูตะโกน เมื่อเห็นอัศวินไอซ์บลูคนหนึ่งถูกกิเลนโลหิตฉีกเป็นชิ้นๆ
“ฉันออกจากหน่วยอัศวินไอซ์บลูเรียบร้อยแล้ว เจ้าคิดจริงๆหรือว่าฉันจะกลับไปอีกหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นน่ะ? ในตอนที่พวกเจ้าตัดสินใจต่อสู้กับข้า พวกเจ้าก็ควรจะสวดภาวนาและเตรียมตัวรับความตาย!” หานเซิ่นตะโกนกลับไป
ราชาอัศวินไอซ์บลูไม่พูดอะไรอีก เขาปฏิบัติกับหานเซิ่นในฐานะลูกศิษย์ของอี๋ซา เขาคิดกับหานเซิ่นในฐานะรุ่นน้อง และเขาไม่เคยคิดว่าจะต้องเห็นชายหนุ่มเป็นศัตรูคนหนึ่ง
ถึงแม้หานเซิ่นจะทรยศต่ออัศวินไอซ์บลู ทั้งหมดที่ราชาอัศวินไอซ์บลูต้องการก็คือสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาในฐานะรุ่นพี่ เขาต้องการจะจับตัวหานเซิ่นและลากเขากลับไปในตำแหน่งที่ถูกต้องภายในหน่วยอัศวินไอซ์บลู
ตอนนี้ราชาอัศวินไอซ์บลูเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขามองหานเซิ่นผิดไป เขาไม่เคยคำนึงหานเซิ่นในฐานะคนที่เท่าเทียมมาก่อน และมันไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเขาว่าหานเซิ่นจะมองเห็นเขาเป็นคู่แข่งขันหรือคู่ต่อสู้คนหนึ่ง
หานเซิ่นไม่ใช่รุ่นน้องที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง แต่หานเซิ่นเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจ เขามีสิ่งที่จำเป็นในการอยู่รอดและก้าวหน้าไปในโลกที่โหดร้ายนี้ เขาสามารถปกป้องตัวเองได้ ถึงแม้ศัตรูที่ทรงพลังมากมายต้องการจะฆ่าเขา
ราชาอัศวินไอซ์บลูรู้สึกตัวสายเกินไป ถ้าเขาคำนึงหานเซิ่นว่าเป็นภัยตั้งแต่ตอนแรก เขาก็คงจะไม่มอบโอกาสให้หานเซิ่นหนีออกมาจากฐานทัพได้ เขาจะจัดการกับหานเซิ่นอย่างรวดเร็วที่สุด และเขาจะไม่พยายามไล่ตามหานเซิ่นไปตามลำพังในตอนที่หานเซิ่นหนีไปตอนแรก
กิเลนโลหิตไล่ล่ากลุ่มอัศวินจนไปถึงไปประตูโครงกระดูกนรก มันฆ่าทุกคนยกเว้นราชาอัศวินไอซ์บลู ครามและอัศวินไอซ์บลูอีกคนหนึ่ง
แต่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ประตูมากเกินไป หานเซิ่นปล่อยให้พวกเขาทั้ง 3 คนหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ภูเขาดอกบัวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลนโลหิต
“ข้านั้นโง่เขลา ข้าควรจะปฏิบัติกับเขาเป็นเหมือนคู่ต่อสู้ที่แท้จริง”
ราชาอัศวินไอซ์บลูจ้องมองหานเซิ่นที่กำลังขี่กิเลนโลหิตจากไป ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก มันไม่ได้แสดงทั้งความโกรธหรือความเศร้า
ครามดูเคร่งขรึม “เขาเป็นลูกศิษย์ของอี๋ซาจริงๆอย่างนั้นหรอ? เขาดูจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอี๋ซาเองซะอีก ข้ากลัวว่าพวกเราจะประเมินเขาต่ำเกินไป”
“เจ้าจะโทษพวกเราในเรื่องนั้นไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่ามาร์ควิสคนหนึ่งจะเป็นภัยใหญ่หลวงแบบนั้น?” อัศวินไอซ์บลูอีกคนที่เหลือรอดชื่อฮาร์ดเดอร์พูด
ในตอนนี้ความรู้สึกของฮาร์ดเดอร์ค่อนข้างซับซ้อน เขาและเอ็ดเวิร์ดใกล้ชิดกันอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
ถึงแม้เอ็ดเวิร์ดจะเป็นชาวเอ็กซ์ตรีมคิงเลือดผสม และถึงพลังโจมตีของเขาจะไม่ได้สูงอะไรเมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกัน แต่พลังในการสังเกตและการเคลื่อนไหวของเขานั้นไร้ที่ติ
เมื่อฮาร์ดเดอร์นึกถึงภาพที่เอ็ดเวิร์ดนอนหมดสภาพภายใต้การโจมตีของหานเซิ่น เขาก็ไม่สามารถหาคำไหนมาบรรยายภาพที่เห็นได้
ถึงแม้ตอนนี้หานเซิ่นจะเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง แต่มันก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับเขาในฐานะดยุกคนหนึ่งอีกต่อไป
เมื่อราชินีจิ้งจอกเห็นราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นอีก 2 คนกลับออกมา เธอก็ขมวดคิ้วและถาม “คนอื่นๆอยู่ที่ไหน?”
ราชาอัศวินไอซ์บลูบองเธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดบรรยายพลังของหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่กลุ่มของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
“น่าสนใจ น่าสนใจมากๆ กิเลนโลหิตกลายเป็นครึ่งเทพรวดเร็วขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย? และหานเซิ่นยังขี่มันในการต่อสู้อีกอย่างนั้นหรอ?” ราชินีจิ้งจอกหลี่ตาของเธอ
เธอไม่ได้โทษอะไรพวกราชาอัศวินไอซ์บลู เธอพูดกับพวกเขา
“พวกเจ้าอยู่ช่วยกุนซือไวท์เพื่อทำลายการป้องกันของที่นี่ เมื่อข้าทำลายโซ่ที่ล่ามข้าอยู่ได้แล้ว ข้าจะไปจับตัวเขามาด้วยตัวเอง”
ภายในหุบเขาของกิเลนโลหิต หานเซิ่นปล่อยให้เป่าเอ๋อและคนอื่นๆได้ออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตาเพื่อผ่อนคลาย เขายังคงต้องการปรึกษาแผนการที่จะรับมือกับศึกที่กำลังจะมาถึง
ตอนนี้ถึงหานเซิ่นจะใช้พลังของกิเลนโลหิตเอาชนะราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นได้ แต่หานเซิ่นก็ยังไม่คิดว่าตัวเองปลอดภัย และนั่นทำให้เขายังคงรู้สึกกังวล
เอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆสามารถหาหนทางที่จะทำลายการป้องกันของปราสาทเพื่อเข้ามาข้างในได้ นั่นหมายความว่าหนึ่งในพวกเขาเข้าใจถึงโครงสร้างของปราสาท อย่างน้อยๆก็ในระดับหนึ่ง
ราชินีจิ้งจอกไม่ได้ส่งกุนซือไวท์มาล่าตัวเขา และนั่นก็คงจะเป็นเพราะกุนซือไวท์รู้เกี่ยวกับโครงสร้างของปราสาท ถ้าเขาสามารถทำลายโซ่ที่ล่ามราชินีจิ้งจอกอยู่ได้ หานเซิ่นก็จะเจอกับปัญหาใหญ่
หานเซิ่นไม่มีโอกาสจะเอาชนะยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ได้ ถึงแม้เขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีก็ตาม และตอนนี้หานเซิ่นก็ติดอยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ ปราสาทนั้นเป็นทางออกเดียวที่เขามี
‘น่าเสียดายที่เจ้ากิเลนโลหิตยังเป็นแค่ครึ่งเทพ ถ้าเราทำให้มันกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ล่ะก็ เราก็คงจะขี่มันออกไปสังหารอะไรก็ตามที่มาขวางทางได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ทีมของหานเซิ่นพูดคุยกันอยู่ครึ่งวัน แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถคิดหาแผนการอะไรขึ้นมาได้ หานเซิ่นตัดสินใจหันไปพยายามดูดซับพลังโกสต์โบนทั้งหมดที่ทำได้ เขาหวังว่าจะพัฒนาวิชาเรื่องราวของยีนไปสู่ระดับดยุก ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไหร่ โอกาสรอดไปจากที่นี่ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
‘ถึงแม้ราชินีจิ้งจอกจะถูกปล่อยเป็นอิสระจริงๆ เธอก็คงจะไม่ฆ่าเราในทันที ตราบใดที่เธอยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ นั่นหมายความว่าเรายังมีโอกาสอยู่’ หานเซิ่นคิด
ในตอนนี้กิเลนโลหิตและหานเซิ่นสนิทสนมกันเรียบร้อยแล้ว แต่มีเพียงแค่หานเซิ่นเท่านั้นที่เข้าไปใกล้กิเลนโลหิตได้ ตัวตนของมันน่าสะพรึงกลัวเกินไป และมันก็มองคนอื่นทุกคนราวกับเป็นชิ้นเนื้อ
หานเซิ่นยังคงฝึกเรื่องราวของยีนต่อไปเรื่อยๆ และหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องราวของยีนก็ก้าวหน้าไปได้ด้วยดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังห่างไกลจากการพัฒนาไปสู่ระดับดยุก
ทันใดนั้นทั้งไวท์โบนเฮลล์ก็เริ่มสั่นไหว และหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงของราชินีจิ้งจอกดังออกมาจากประตูโครงกระดูกนรก
“น้องชายคนดีของข้า! พี่สาวคนนี้กำลังจะไปหาเจ้า”
ราชินีจิ้งจอกเดินมายืนอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรก ห่วงโลหะยังคงอยู่ที่คอ ข้อมือและข้อเท้าของเธอ แต่ทว่าโซ่โลหะที่ติดอยู่กับพวกมันได้หายไปแล้ว
กุนซือไวท์ ราชาอัศวินไอซ์บลู ครามและฮาร์ดเดอร์ยืนอยู่ด้านหลังของราชินีจิ้งจอก มันดูเหมือนกับว่าในตอนนี้พวกเขาเป็นคนของเธอ