หานเซิ่นแปลกใจ เมืองโกสต์โบนมีรูปปั้นของจักรพรรดิมนุษย์อยู่ และตอนนี้เขาก็พบวิชาจีโนที่เกี่ยวข้องกับวิชาโลหิตชีพจรอีก จักรพรรดิมนุษย์ ผู้นำของเซเคร็ดและพยุหะโลหิตมีความเกี่ยวข้องยังไงกันแน่?
หานเซิ่นไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่การได้อ่านวิชาจีโนที่อยู่ภายในหมอกควันสีแดง ทำให้หานเซิ่นดีใจอย่างมาก
ตั้งแต่ที่หานเซิ่นเริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจรมา เขาคิดว่ามันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรในเรื่องการต่อสู้ ด้านที่มีประโยชน์ที่สุดของมันก็คือความจริงที่ว่าเขาสามารถส่งผ่านยีนที่แข็งแกร่งให้กับทายาทได้
แต่ในขณะเขามองดูวิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลนั้น หานเซิ่นก็มองเห็นความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งของวิชาโลหิตชีพจร
วิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลเป็นวิชาจำพวกเดียวกับวิชาโลหิตชีพจร แต่มันไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว มันเหมือนกับการเปรียบเทียบกันระหว่างดอกไม้กับใบไม้ พวกมันอาจจะโตขึ้นด้วยกัน แต่พวกมันแตกต่างไปจากกัน
ถ้าวิชาโลหิตชีพจรเป็นดอกไม้ วิชาจีโนที่อยู่ภายลูกคริสตัลก็คือใบไม้ หน้าที่ของดอกไม้คือออกผล แต่ทว่าหน้าที่ของใบไม้คือการหายใจ
คำอุปมานี้อาจจะฟังดูสวยงามและอ่อนโยน แต่จริงๆแล้ววิชาจีโนนี้เป็นอะไรที่โหดร้ายมากๆ วิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลสามารถขโมยเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ วิชานี้สามารถขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้เพื่อมอบให้กับผู้ใช้ คู่ต่อสู้ที่สูญเสียพลังโลหิตชีพจรของตัวเองจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หมดชีวิตชีวาราวกับถูกดูดพลังชีวิตไป
แต่สำหรับหานเซิ่นแล้วความโหดร้ายก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต วิชาจีโนนี้ทำงานในกฎเดียวกันกับธรรมชาติของก็อตแซงชัวรี่ ภายในก็อตแซงชัวรี่ชีวิตคือการช่วงชิงสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอื่นมอบให้เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
หานเซิ่นนึกถึงดราก้อนเอทที่ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้ด้วย ถ้าหานเซิ่นต้องการร่างมังกรทองของอีกฝ่าย เขาก็แค่ต้องใช้วิชาจีโนใหม่นี้เพื่อขโมยชีพจรโลหิตของดราก้อนเอท ซึ่งการทำแบบนั้นหานเซิ่นก็จะขโมยร่างมังกรทองมาเป็นของตัวเองได้ มันเป็นกระบวนการง่ายๆ
ถ้าสาธารณชนภายในจักรวาลจีโนรู้ถึงวิชาจีโนนี้ล่ะก็ หานเซิ่นก็จะกลายเป็นศัตรูในสายตาของทุกคน มันไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่จะยอมให้โลหิตชีพจรของพวกเขาถูกขโมยไปโดยคนอื่น
หานเซิ่นพยายามจดจำวิชาจีโนที่มีชื่อว่าช่วงชิงโลหิตชีพจร และสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ใครคนอื่นได้รู้ถึงการมีอยู่ของมันเป็นอันขาด เพราะถ้าคนอื่นได้รู้ว่าเขามีวิชาที่เป็นอันตรายแบบนี้ล่ะก็ มันก็จะไม่มีใครเข้ามาใกล้เขา
เนื่องจากหานเซิ่นมีวิชาโลหิตชีพจรเป็นฐานอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องฝึกช่วงชิงโลหิตชีพจร เขาสามารถใช้มันได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในการวิชา
หานเซิ่นจดจำวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเอาไว้ให้ขึ้นใจและฝังมันลึกเข้าไปในความทรงจำของเขา หลังจากนั้นเขาก็บดขยี้ลูกคริสตัลสีเขียวในมือเพื่อไม่ทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้เบื้องหลัง
แต่เมื่อลูกคริสตัลสีเขียวถูกบดขยี้ หมอกควันสีแดงที่อยู่ภายในก็ไหลเข้าไปในปลายนิ้วของหานเซิ่น หมอกควันไหลผ่านผิวหนังของเขาจนกระทั่งมันไปถึงเส้นเลือดและเลือดของเขา
หานเซิ่นพยายามจะหยุดมัน แต่ไม่มีอะไรที่ได้ผล พลังของวิชาโลหิตชีพจรกับหมอกควันสีเลือดผสมเป็นหนึ่งเดียวกันในทันที และพวกมันก็ปฏิเสธที่จะแยกจากกัน
หลังจากนั้นวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรก็เริ่มทำงาน กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นจนหานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาได้ฝึกมันมาเป็นล้านๆครั้งแล้ว
“ใครก็ตามที่ทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ต้องเป็นคนที่น่ากลัวมากๆ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าคนที่พบลูกคริสตัลนี้จะทำลายมันทิ้ง หมอกควันสีเลือดที่อยู่ภายในนั้นถูกเตรียมเอาไว้เพื่อช่วยให้คนที่ได้มันไปฝึกฝนวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ถึงแม้คนที่มาพบมันจะไม่ได้เรียนรู้วิชาโลหิตชีพจรมาก่อน แต่มันก็จะทำให้พวกเขาเข้าใจวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรได้อย่างรวดเร็ว”
หานเซิ่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่ออกแบบลูกคริสตัลนี้เข้าใจจิตวิทยาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นคนๆนั้นก็คงจะคาดการณ์ถึงสิ่งที่หานเซิ่นจะทำไม่ได้
‘แต่นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เตรียมลูกคริสตัลนี้ไม่คิดว่าคนที่ได้มันไปจะรู้เกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจรอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่พยุหะโลหิตเตรียมเอาไว้ให้กับคนของพวกเขา บางทีจริงๆแล้วผู้นำของเซเคร็ดอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพยุหะโลหิต และเขาแค่บังเอิญได้วิชานี้มา?’ หานเซิ่นยังคงครุ่นคิดกับตัวเอง
กุนซือไวท์และครามยังคงเดินนำไป หานเซิ่นให้กิเลนโลหิตตามเขาจากด้านหลัง
หานเซิ่นติดตามกุนซือไวท์ไปอีกเป็นเวลานาน พวกเขาเดินทางผ่านอีกหนึ่งร้อยปราสาทโดยไม่มีอันตรายอะไร หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงที่ด่านทดสอบ
แต่ครั้งนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นที่ด่านทดสอบทำให้พวกเขาแข็งทื่อไป
มันมีหลุมขนาดใหญ่อยู่ที่ใจกลางของปราสาทวงกลม ถ้านั่นคือด่านทดสอบที่เหมือนกับด่านแรก มันก็ควรจะมีรูปปั้นอยู่ตรงนั้น
“ดูเหมือนจะมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเราและตัดสินใจทำลายรูปปั้นทิ้ง” กุนซือไวท์พูด
กุนซือไวท์รีบเข้าไปเพื่อตรวจสอบหลุมที่เกิดขึ้น และหานเซิ่นกับครามก็ตามเขาไปติดๆ พวกเขายืนอยู่ที่ขอบหลุมและมองลงไปในความมืดมิด สิ่งพวกเขาเห็นนั้นยืนยันข้อสันนิษฐานของกุนซือไวท์
ชิ้นส่วนของพื้นและรูปปั้นที่ถูกทำลายกองอยู่ที่ก้นของหลุม มันเป็นอย่างที่พวกเขาคิด มันมีรูปปั้นตั้งอยู่ตรงนี้จริงๆเพียงแต่มันถูกทำลายโดยฝีมือของใครบางคน
“ให้ข้าลงไปดูข้างล่างสักหน่อย” หานเซิ่นอยากรู้อยากเห็น
เมื่อหานเซิ่นลงไปถึงก้นบึ้งของหลุม เขาก็ค้นพบว่ามันมีอุโมงค์แยกออกไป 3 ทาง ซึ่งแต่ละอุโมงค์นำไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
ครามและกุนซือไวท์ก็ลงมาด้วยเช่นกัน กุนซือไวท์มองดูเศษซากของรูปปั้นและพูด
“รูปปั้นนั้นถูกทำลายและของรางวัลอะไรก็ตามได้หายแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่าใครเอามันไป รูปปั้นที่ถูกทำลายก็พูดไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราคงจะไม่ได้รู้ถึงข้อความอะไรที่ถูกทิ้งเอาไว้”
“พวกเราควรจะทำยังไงกันต่อ? พวกเราจะทำตามแผนเดิมหรือตรวจสอบอุโมงค์พวกนี้ว่ามันนำไปสู่ที่ไหน?” หานเซิ่นจ้องมองไปที่หนึ่งในอุโมงค์หิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา และทำให้ภายในหลุมนั่นสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว มันเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังมากจนพวกเขารู้สึกราวกับว่าหูกำลังจะแตก
“การเข้าไปในอุโมงค์พวกนี้เป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป พวกเราควรจะทำตามแผนเดิม ถ้าใครก็ตามมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา พวกเขาก็ต้องกลับออกมา ถึงแม้พวกเขาจะได้สมบัติของผู้นำเซเคร็ด พวกเรายังคงมีโอกาส” กุนซือไวท์ดูไม่แจ่มใสนัก เขาบินขึ้นมาจากหลุม
หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบรูปปั้นที่พังทลาย แต่เขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ หลังจากนั้นเขาก็มองเข้าไปที่อุโมงค์ที่ดูเหมือนจะประสบกับฝนฟ้าคะนอง การได้ยินเสียงสายฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หานเซิ่นตัดสินใจกลับออกไปกับกุนซือไวท์
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเขา แต่กุนซือไวท์เร่งมือคำนวณหาเส้นทางอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม มันดูเหมือนกับว่าเขาต้องการจะไล่ตามใครก็ตามที่นำหน้าอยู่ให้ทัน
ตลอดหลายปราสาทต่อมา หานเซิ่นและคนอื่นๆสามารถยืนยันได้ว่ามีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเขาจริงๆ
แต่กุนซือไวท์ค้นพบว่าบุคคลปริศนานั้นดูเหมือนจะไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง เขาต้องลองเข้าไปในทุกประตูแห่งแสงและเขาก็ต้องเข้าไปในปราสาทที่เป็นอันตรายก่อนที่จะกลับออกมาเพื่อเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่ถูกต้อง
“บุคคลนี้ไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มาได้ไกลถึงขนาดนี้ นั่นหมายความว่าคนๆนี้ต้องแข็งแกร่งมากๆ และเขาก็อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน” กุนซือไวท์พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นั่นอาจจะเป็นไปไม่ได้! ก่อนที่พวกเราจะเข้าเทเลพอร์ตเข้ามาในนี้ ประตูของต้นไม้แก่นั้นปิดอยู่ และถ้าไม่มีแผ่นหินของหานเซิ่น เขาจะเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” ครามถาม
กุนซือไวท์ส่ายหัว เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ตามกุนซือไวท์ต่อไป พวกเขาไปถึงด่านทดสอบที่ 3 โดยใช้เวลาน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการไปถึงด่านตรวจที่ 2 อยู่หนึ่งชั่วโมง
หานเซิ่นเข้าไปในด่านทดสอบที่ 3 อย่างระมัดระวัง สิ่งที่เห็นทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างและเกือบที่จะกรีดร้องออกมา