Super God Gene – ตอนที่ 2276

ด่านทดสอบที่ 3 นั้นต่างไปจากด่านทดสอบทั้ง 2 ที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้มันจะเป็นภายในปราสาทเหมือนกัน แต่ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าปราสาทอื่นๆมาก พื้นของปราสาทนั้นไม่ได้ปกคลุมด้วยพื้นหินแต่เป็นน้ำ มันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีสะพานข้ามอยู่หลายสะพาน

 

สะพานหยกนั้นอยู่ในรูปของพระจันทร์เสี้ยว และพวกมันก็มีกันอยู่ทั้งหมด 13 สะพานด้วยกัน พวกมันกระจายกันออกไปทั้งปราสาทและแต่ละสะพานดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับเครื่องเทเลพอร์ตที่แตกต่างกันออกไป

 

และสะพานทั้ง 13 ยังทำขึ้นมาจากหยกที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย

 

รูปปั้นหินตั้งอยู่ตามรั้วของแต่ละสะพาน บางรูปปั้นดูเหมือนกับปีศาจในขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับเทวดา บางรูปปั้นอยู่ในรูปร่างของอสูรร้าย ขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยน

 

ตอนนี้หานเซิ่นกำลังมองออกไปที่สะพานหยกสีม่วง รั้วของมันเป็นแถวของรูปปั้นหินที่ดูชั่วร้าย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่หานเซิ่นมองไปที่มัน

 

หานเซิ่นกำลังมองไปที่จุดสูงสุดของสะพานสีม่วง ซึ่งมีรูปปั้นที่ดูเหมือนกับปีศาจตั้งอยู่ มันกำลังนั่งยองๆอยู่ตรงกึ่งกลางของสะพานด้วยปีกที่พับอยู่ ดวงตาของปีศาจกำลังจ้องมองลงไปข้างล่างราวกับว่าพวกมันกำลังหาอะไรบางอย่างกิน

 

ผู้หญิงคนหนึ่งถูกกำอยู่ในมือของมัน และผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่หานเซิ่นคุ้นเคย

 

“อี๋ซา!” หานเซิ่นเกือบที่จะกรีดร้องออกมา

 

มือหินของปีศาจสีม่วงจับอี๋ซาเอาไว้แน่น ถึงแม้ร่างกายของเธอจะถูกปกคลุมด้วยนิ้วมือของมัน แต่ใบหน้าของเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจน เธอดูซีดเซียวอย่างมากและเลือดก็ไหลออกมาจากปากของเธอ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่ในอากาศโคม่าและเส้นผมของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีขาว

 

ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็จดจำเธอได้และเขาก็มั่นใจว่านั่นคืออี๋ซา เธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเหมือนกับที่เขาจำได้ เธอยังคงเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่

 

‘ทำไมอี๋ซาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ฉันคิดว่าเธอถูกอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งกลืนกินเข้าไปซะอีก’ หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวขณะที่เขาคิดต่อไปว่า
‘ที่นี่คือปราสาทที่ตั้งอยู่บนหลังของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งอย่างนั้นหรอ?’

 

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้หัวใจของหานเซิ่นก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้นำของเซเคร็ดไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาขโมยสมบัติของเขา เขาได้ลงทุนอย่างมากเพื่อปกป้องทรัพย์สินของเขา

 

“ท่านราชินี!” หานเซิ่นตะโกนเรียกอี๋ซาที่อยู่บนสะพานโดยหวังจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา เขาสามารถบอกได้ว่าเธอยังไม่ตาย

 

เสียงตะโกนของหานเซิ่นดังก้องด้วยคลื่นเสียง แต่การเรียกของเขาไม่ได้กระตุ้นปฏิกิริยาใดๆจากเธอ

 

“หยุดตะโกนเถอะ ถึงแม้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจะตะโกนใส่นาง นางก็ไม่มีทางจะได้ยินเสียงเรียกนั้น” กุนซือไวท์

 

“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว” หานเซิ่นหันไปมองกุนซือไวท์

 

กุนซือไวท์ชี้ออกไปที่สะพานหยกและพูด “สะพานทั้ง 13 นี้มีพลังที่แตกต่างกัน การก้าวไปบนสะพานจะล็อคเจ้ากับมัน นี่คงจะต้องเป็นการทดสอบอีกอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำของเซเคร็ด พวกเราจะต้องเลือกสะพานที่ถูกต้อง ถ้าพวกเราอยากจะผ่านการทดสอบนี้ไปอย่างปลอดภัย”

 

“พลังของสะพานนี้คืออะไร?” หานเซิ่นชี้ไปที่สะพานหยกสีม่วงที่อี๋ซาอยู่

“ถ้าข้าดูไม่ผิด รูปปั้นปีศาจที่อยู่บนสะพานนั้นคือเฮลล์โกสต์ในตำนาน รูปปั้นที่จุดศูนย์กลางจะต้องเป็นราชาเฮลล์โกสต์ มันเป็นตัวแทนของพลังนรก” กุนซือไวท์พูดขณะที่มองสะพานอย่างละเอียด

 

“พลังนรกนี่คือพลังธาตุความตายอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม

 

กุนซือไวท์ส่ายหัว “จากคำกล่าวในตำนาน นรกคือปลายทางของผู้ที่ตายไป แต่จริงๆแล้วนรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธาตุความตาย มันเป็นส่วนย่อยของธาตุอวกาศและกาลเวลา นรกคืออีกมิติหนึ่งที่แยกไปจากโลกของพวกเรา แกนของอวกาศและกาลเวลาของที่นี่แตกต่างไปจากโลกของเรา ดังนั้นพลังนรกจึงมาจากความแตกต่างในโครงสร้างของมิติ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความตายหรือความมืด”

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะช่วยเธอได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม

 

กุนซือไวท์พูด “นอกจากการฝ่าเข้าไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าจะมีหนทางอื่นที่จะช่วยนางได้ อวกาศและกาลเวลาเป็นธาตุที่ลึกลับอย่าง ตำนานบอกเอาไว้ว่าผู้นำของเซเคร็ดสำเร็จพลังอวกาศและกาลเวลา อี๋ซาโชคร้ายที่เลือกสะพานหยกนั้น”

 

หานเซิ่นขมวดคิ้ว ถ้าอี๋ซายังไม่สามารถข้ามสะพานหยกนั้นได้ นั่นก็หมายความว่ามันจะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าสำหรับเขา

 

เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็ยังเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างอี๋ซาที่เป็นครึ่งเทพ

 

หานเซิ่นมองอี๋ซาที่อยู่ในกำมือของปีศาจ และเมื่อเขาสังเกตดีๆ เขาก็เห็นว่าเล็บของปีศาจกำลังจิกเข้าไปในเนื้อหนังของอี๋ซา มีเลือดกำลังไหลออกมาอย่างช้าๆ เลือดไหลไปตามเล็บของรูปปั้นและปลายเล็บเหล่านั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง

 

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อี๋ซาก็จะเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่เธอจะขาดใจตาย

 

พลังของสะพานนรกทำให้หานเซิ่นมองไม่เห็นพลังชีวิตของเธอ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่มาก

 

กุนซือไวท์ตรวจสอบสะพานหยกทั้ง 13 สะพาน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมา เขาเริ่มทำการคำนวณ หานเซิ่นคิดว่าเขาต้องพยายามเลือกสะพานหยกที่สามารถข้ามไปได้อย่างปลอดภัย

 

แต่ไม่นานสีหน้าของกุนซือไวท์ก็ดูหม่นหมอง “สะพานทั้ง 13 นี้เป็นทางตัน พวกมันทั้งหมดมีพลังที่น่ากลัวคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นมันไม่มีสะพานไหนที่จะข้ามไปได้อย่างปลอดภัย นี่ผู้นำของเซเคร็ดไม่คิดจะปล่อยให้ใครรอดไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรอ?”

 

“ไม่สิ! มันจะต้องมีหนทางอยู่!” กุนซือไวท์เริ่มเหงื่อตก นิ้วมือของเขาแว็บวับด้วยสัญลักษณ์ ขณะที่เขาทำการคำนวณต่อไป

 

สายตาของหานเซิ่นจ้องมองไปที่สะพานหยกสีม่วง เขาเรียกวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงออกมาเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของสะพานหยกสีม่วงนั้น

 

หานเซิ่นรู้ว่าอี๋ซาเป็นคนที่กล้าหาญและบางครั้งก็หยิ่งยโส แต่เธอไม่ใช่คนโง่ มันไม่มีทางที่เธอจะตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางที่ยากที่สุด

 

หานเซิ่นคิดว่าอี๋ซาเลือกสะพานนรกด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ล้มเหลว

 

แต่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้มาก สะพายหยกม่วงดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่าง หานเซิ่นมองเห็นว่าโครงสร้างลำดับของมันซับซ้อนอย่างมากเหมือนกับรังนกของเขา หานเซิ่นไม่สามารถเข้าใจมันได้ และเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นพลังแบบไหนกันแน่

 

“นี่แหละ! ถ้าพวกเราเดินไปบนบันไดนี้ พวกเราจะรอดผ่านไปได้”
ทันใดนั้นกุนซือไวท์ก็ชี้ออกไปที่สะพานหยกอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

 

หานเซิ่นมองไปที่สะพานที่กุนซือไวท์ชี้อออกไปและเห็นว่าสะพานหยกนั้นมีสีดำสนิทราวกับหมึก รั้วของสะพายมีรูปปั้นนกที่เหมือนกับอีกาอยู่ รูปปั้นนกขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่บนเสาหินกึ่งกลางของสะพาน

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset