กุนซือไวท์อธิบาย “นกนั่นคืออีกาแห่งความตาย มันนำสิ่งมีชีวิตที่ผ่านวัฏจักรแห่งความตาย นั่นอาจจะดูเหมือนเป็นทางตัน แต่มันเป็นสะพานที่พวกเราจะรอดไปได้ นี่คือสะพานเดียวจากทั้ง 13 สะพานที่จะนำพวกเราไปถึงอีกฝากอย่างปลอดภัย การผ่านวัฏจักรชีวิตและความตาย หยินและหยาง ผู้นำของเซเคร็ดเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์อย่างมาก ถ้าข้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของผู้นำเซเคร็ดและเรียนรู้ว่าเขาเกิดใหม่ 9 ครั้ง มันก็ไม่มีทางที่ข้าจะสันนิษฐานได้ว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง”
“เจ้าเป็นคนที่ฉลาดมากๆ กุนซือไวท์ แม้แต่ความลับของผู้นำเซเคร็ดเจ้าก็ยังรู้”
เสียงของผู้หญิงคนดังขึ้นมา ทั้งหานเซิ่นและกุนซือไวท์สะดุ้งด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาหันไปและเห็นราชินีจิ้งจอกเดินมาจากด้านหลัง เธอไล่ตามพวกเขามาทันอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของกุนซือไวท์ดูหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าราชินีจิ้งจอกจะไล่ตามพวกเขาทันเร็วแบบนี้ ถ้าเธอไม่มีความสามารถในการคำนวณหาเส้นทางที่ถูกต้องเหมือนกับกุนซือไวท์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคาดเดาเส้นทางได้ถูกต้องทุกครั้ง
แต่ทันใดนั้นเองกุนซือไวท์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่ง เขาก้มมองร่างกายของตัวเอง
ราชินีจิ้งจอกหัวเราะ “เธอไม่จำเป็นต้องมองหา ข้าได้ทิ้งสเปรย์เอาไว้บนตัวของเจ้า มันเป็นกลิ่นที่มีแค่จิ้งจอกเปลี่ยนร่างเท่านั้นที่จะตามรอยได้”
หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็เลิกสนใจกุนซือไวท์ เธอหันไปมองที่หานเซิ่น
“น้องชายคนดี พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว! เจ้าคิดถึงพี่สาวไหม? ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย!”
หานเซิ่นกำรังนกในมือแน่นขณะที่เริ่มก้าวถอยออกไป เขาอยู่ถัดออกไปจากสะพานนรก เขายิ้มให้กับเธอ
“ข้าคิดถึงพี่สาวเหมือนกัน แต่ข้าจะมีความสุขมาก ถ้าไม่ต้องเห็นหน้าท่านอีกครั้ง”
ราชินีจิ้งจอกยิ้มและพูด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องผิดหวัง ในเมื่อตอนนี้พวกเราทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งที่นี่ เจ้าก็ควรจะทำบางสิ่งเพื่อพี่สาวคนที่เป็นห่วงใยมากไม่ใช่หรอ?”
“ท่านต้องการสิ่งนี้สินะ?” หานเซิ่นนำแผ่นหินออกมา เขาถือมันในมืออย่างสบายใจ
ดวงตาของราชินีจิ้งจอกเป็นประกาย เธอยิ้มออกมา
“น้องชายคนดี! เจ้าเข้าใจพี่สาวจริงๆ เจ้าเป็นคนที่น่ารัก! ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าอย่างโหดร้าย ถ้าเจ้ามอบมันมาให้กับพี่สาว ข้าก็จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”
“แน่นอน แต่ถ้าท่านต้องการมัน ท่านก็ต้องไล่ตามข้าให้ทัน ถ้าท่านจับตัวข้าได้ ข้าก็จะมอบมันให้กับท่าน”
หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็ก้าวไปบนสะพานนรกพร้อมกับกิเลนโลหิต
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของราชินีจิ้งจอกตึงเครียด แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะหยุดหานเซิ่น เธอเทเลพอร์ตไปหยุดอยู่ตรงหน้าสะพาน แต่เธอไม่มีความกล้าพอที่จะก้าวขึ้นไปบนสะพาน
กุนซือไวท์ตกตะลึง เขาตะโกนออกมา “กลับมา! เจ้าจะข้ามสะพานนรกไม่ได้!”
แต่กุนซือไวท์รู้ว่าเสียเวลาเปล่าๆ สะพานนรกนั้นหมายถึงพลังจากนรก และเป็นอย่างที่เขาเพิ่งจะอธิบาย มันเป็นพลังจากมิติที่ต่างออกไป
ในจังหวะที่หานเซิ่นก้าวไปเหยียบบนสะพาน เขาก็เข้าไปสู่มิติใหม่ ไม่สำคัญว่ากุนซือไวท์จะตะโกนดังสักแค่ไหน เขาก็รู้ว่าหานเซิ่นไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกแล้ว
“กุนซือไวท์ มันมีหนทางไหนที่พวกเราจะเดินไปบนสะพานนี้ไหม?” ราชินีจิ้งจอกจ้องมองไปที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิต
“แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็อาจจะตายได้ คิดจริงๆหรือว่าเขาจะข้ามมันไปได้สำเร็จน่ะ?” กุนซือไวท์ยิ้มแห้งๆออกมา
“น่าเสียดาย” ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นและถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเสียใจกับหานเซิ่นหรือแผ่นหินที่ต้องการ
“กุนซือไวท์ พวกเจ้านำหน้าไปก่อน” ราชินีจิ้งจอกพูด
กุนซือไวท์รู้สึกหม่นหมอง เขาหันไปมองคราม หลังจากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย
ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นอีกสักพัก หลังจากนั้นเธอก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย
เมื่อหานเซิ่นก้าวขึ้นมาเหยียบบนสะพานนรก ทัศนวิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในตอนแรกเขามองเห็นปลายสะพานได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเขาเหยียบลงบนสะพานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
สะพานยืดตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และนอกจากสะพานกับทะเลสาบแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอยู่ในทัศนวิสัยของเขา
หานเซิ่นมองไม่เห็นสะพานอื่น และเขาก็มองไม่เห็นราชินีจิ้งจอกและกุนซือไวท์เช่นกัน มันเหมือนกับว่าสะพานนี้อยู่ในโลกส่วนตัวของมันโดยปราศจากสิ่งอื่นๆ
นอกจากนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์บนสะพานก็มีชีวิตขึ้นมา พวกมันทั้งหมดดูเหมือนกับปีศาจที่แท้จริง พวกมันโค้งตัวเหนือรั้วและดวงตาสีม่วงของพวกมันก็จ้องมาที่หานเซิ่น ราวกับว่าพวกมันต้องการจะกลืนกินเขาทั้งเป็น
ร่างกายของพวกมันถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟสีม่วง ทำให้ทั้งสะพานถูกล้อมด้วยเปลวไฟสีม่วงทั้ง 2 ด้าน มันเป็นภาพที่น่าหวั่นใจ
หานเซิ่นถือรังนกเอาไว้ขณะที่มองออกไป แต่เขามองไม่เห็นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ขนาดใหญ่และอี๋ซาที่อยู่ตรงใจกลางสะพานอีกแล้ว
หานเซิ่นกัดฟัน เขากำรังนกเอาไว้แน่นและเริ่มเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับกิเลนโลหิต
หานเซิ่นเชื่อว่าอี๋ซาต้องมีเหตุผลบางอย่างที่เลือกสะพานนรก แถมราชินีจิ้งจอกก็ตามเขามาจนทัน นั่นหมายความว่าหานเซิ่นไม่มีตัวเลือกอื่นในเรื่องนี้ เพราะการจะเดินไปบนสะพานอื่นร่วมกับเธออาจจะเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งกว่า
หานเซิ่นค่อยๆเดินไปบนสะพานอย่างช้าๆขณะที่ถือรังนกเอาไว้ เฮลล์โกสต์ที่อยู่เหนือรั้วของสะพานยังคงจ้องมองมาที่เขา ดวงตาของพวกมันติดตามเขาไปเรื่อยๆ พวกมันมองหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างไม่ละสายตา
บางทีพวกมันอาจจะเกรงกลัวรังนกของหานเซิ่น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่พวกมันตัดสินใจไม่ทำอะไร พวกมันเพียงแค่จ้องมองเขา
หานเซิ่นเดินไปบนสะพานอยู่สักพัก แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกแย่
หานเซิ่นมีรังนกปกป้องร่างกาย แต่เขาสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเขา
“รังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดป้องกันพลังของสะพานนรกไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นก้มมองร่างกายตัวเองและร่างกายของกิเลนโลหิต
ร่างกายของเขาและกิเลนโลหิตถูกย้อมเป็นสีม่วง ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไหร่ ผิวของเขาก็กลายเป็นสีม่วงที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้กิเลนโลหิตมีร่างกายสีแดง แต่ตอนนี้มันก็ไม่สามารถป้องกันการถูกย้อมด้วยสีม่วงได้
ถึงหานเซิ่นจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขายังไง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
หานเซิ่นหยุดเดินและใช้วิชาโลหิตชีพจรกับกายหยก แต่เขาไม่สามารถขจัดลมปราณสีม่วงออกจากผิวหนังได้ และถึงแม้พวกเขาจะหยุดเดิน ลมปราณสีม่วงก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้น
หานเซิ่นเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองออกมา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นเดียวกัน
หานเซิ่นมองไข่นกสีแดงและพบว่ามันไม่มีลมปราณสีม่วงแทรกซึมเข้าไป นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ถ้าไข่ของนกน้อยสีแดงไม่ได้รับผล อย่างนั้นแล้วนั่นก็หมายความว่ามันยังมีหนทางที่จะต่อต้านพลังนี้ มันไม่ใช่อะไรที่ไร้เทียมทาน
หานเซิ่นมองกลับไปด้านหลังและเห็นว่ามันไม่มีเส้นทางด้านหลังอีกแล้ว มันไม่มีปลายทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หานเซิ่นกัดฟันของเขา