เฮลล์โกสต์ทั้ง 2 ข้างจ้องมองหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างเลือดเย็น พวกมันเป็นเหมือนกับฝูงชนที่มารวมตัวกันเพื่อดูพิธีศพ พวกมันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อหยุดผู้บุกรุก
ขณะที่หานเซิ่นเดินต่อไป เขาก็คิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง
‘คนที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนนี้? ดังนั้นเหล่าเฮลล์โกสต์จริงๆแล้วก็เป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น ที่พวกมันดูเหมือนมีชีวิต นั่นก็เพราะเราอยู่บนสะพานนี้ มันเป็นไปได้ที่พลังบางอย่างของสะพานจะทำให้พวกมันดูมีชีวิตขึ้นมา ถึงเฮลล์โกสต์จะไม่โจมตีพวกเรา แต่พวกมันก็อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยพลังบางอย่าง’
“ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้องล่ะก็ แล้วอี๋ซาไปอยู่ในกำมือของรูปปั้นนั้นได้ยังไง? หรือมีเพียงแค่รูปปั้นเฮลล์โกสต์แค่รูปเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม?” หานเซิ่นสงสัย
หานเซิ่นและกิเลนโลหิตยังคงเดินต่อไปบนสะพาน ผิวของพวกเขาสีเข้มขึ้นเรื่อยๆขณะที่พวกเขาเดินไป แต่หนทางข้างหน้าของพวกเขาก็ยังคงปลอดโปร่ง สะพานหยกสีม่วงทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ลมปราณสีม่วงดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายของพวกเขา แต่มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกกังวลอยู่ดี
‘ลมปราณสีม่วงนี้อาจจะกำลังอยู่ในกระบวนการรวบรวมพลัง ยิ่งมันรวบรวมได้มากๆ การระเบิดก็จะเป็นอะไรที่รุนแรงยิ่งขึ้น’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
เนื่องจากความยาวของสะพานถูกยืดออกโดยมิติที่บิดเบือน หานเซิ่นจึงตัดสินใจขี่หลังกิเลนโลหิตและให้มันวิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุด และหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นกึ่งกลางของสะพาน
มันเป็นเหมือนกับที่หานเซิ่นเห็นจากด้านนอก อี๋ซาอยู่ในกำมือของเฮลล์โกสต์ตัวใหญ่ยักษ์ที่ดูชั่วร้าย แต่ภาพที่เห็นในตอนนี้ต่างออกไปจากเดิมเมื่อเขามายืนอยู่บนสะพาน เฮลล์โกสต์ตัวใหญ่ยักษ์ไม่ใช่แค่รูปปั้นอีกต่อไป มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
หัวของมันมีเขาคู่สีม่วงที่ดูเหมือนกับเขาของวัวกระทิง ร่างกายของมันดูเหมือนกับลิงป่า มันกำอี๋ซาเอาไว้แน่นและดวงตาของมันก็เรืองแสงสีม่วง
“ราชินี!” หานเซิ่นตะโกนเรียกอี๋ซาขณะที่ขี่กิเลนโลหิตเข้าไปหาเธอ
ในตอนที่หานเซิ่นเรียกเธอจากด้านนอก อี๋ซาไม่ได้ยินเสียงของเขา แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาอยู่ในมิติเดียวกัน หานเซิ่นก็คิดว่าเธออาจจะได้ยินของเขา
อี๋ซาค่อยๆเปิดตาอย่างช้าๆ เธอพยายามเงยหัวขึ้นมาเพื่อมองไปที่หานเซิ่น มันเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่
เมื่อเธอเห็นหานเซิ่นกำลังตรงเข้ามา สีหน้าของอี๋ซาก็ดูแปลกๆ เธอจ้องมองเขาอยู่สักพักราวกับว่าเธอพยายามจะตัดสินว่าหานเซิ่นอยู่ที่นี่จริงๆหรือว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพหลอน
“ราชินี ท่านเป็นอะไรไหม?” หานเซิ่นตะโกนขณะที่เดินเข้าไปหาเธอ
เฮลล์โกสต์ที่จับตัวอี๋ซาอยู่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร มันแค่กำอี๋ซาเอาไว้แน่นต่อไปราวกับว่ามันไม่ได้สังเกตเห็นหานเซิ่นและกิเลนโลหิต
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” อี๋ซาพูดออกไป หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าเธอแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด
“เรื่องมันยาว พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง บอกข้ามาว่าข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม
อี๋ซาส่ายหัวของเธอ “เจ้าควรจะหาหนทางช่วยตัวเองก่อน ร่างกายของเจ้ากำลังสะสมลมปราณนรกเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเจ้าไม่รีบไปจากที่นี่ ในอีกไม่นานเฮลล์ก็จะเห็นเจ้า และเมื่อถึงตอนนั้นมันจะสายเกินไปที่เจ้าจะหนีไป”
“ท่านเลือกสะพานนรกด้วยเหตุผลบางอย่างใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม
“อย่ามัวเสียเวลา รีบไปซะ!” อี๋ซาขมวดคิ้วใส่เขา
“ข้าไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่ มันมียอดฝีมือระดับเทพเจ้ารอข้าอยู่ และนางก็เป็นศัตรูของข้า ถึงแม้ข้าจะรอดไปจากที่นี่ได้ ข้าก็ต้องตายอยู่ดี” หานเซิ่นพูด
อี๋ซาดูประหลาดใจ “เจ้านี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ ช่างเถอะ ไหนๆเจ้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็ลองอะไรบางอย่างดู บางทีพวกเราอาจจะรอดชีวิตจากที่นี่ไปด้วยกัน”
“ราชินี! ท่านมีหนทางที่จะออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
อี๋ซายิ้มและพูด “ข้าเลือกสะพานนรกก็เพื่อใช้พลังนรกในการปลุกเลือดรีเบทบรรพบุรุษในตัว แบบนั้นข้าจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ แต่ข้าทำไม่สำเร็จ ในเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่ บางทีเจ้าจะช่วยให้ข้าได้ลองดูอีกครั้ง ถึงโอกาสสำเร็จจะต่ำ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดู”
“ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นรีบถาม
อี๋ซาหายใจเข้าลึกและค่อยๆพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่ารีเบทบรรพบุรุษของพวกเราเป็นทาสของคนสำคัญคนหนึ่งในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง คนๆนั้นถูกเรียกว่าราชาเฮลล์ เขามีร่างเฮลล์ก็อตที่มีพลังนรกที่เข้มข้นอยู่”
อี๋ซาเริ่มไอออกมา เธอหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนที่จะพูดต่อ
“เพราะเขาปฏิบัติกับบรรพบุรุษของพวกเราเป็นอย่างดี ราชาเฮลล์ได้ใส่เลือดของเขาเข้าไปในตัวนาง บรรพบุรุษของพวกเราจึงกลายเป็นระดับเทพเจ้าและคิดค้นพลังเขี้ยวขึ้นมา ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะเลือดของราชาเฮลล์”
“น่าเสียดายที่เลือดของราชาเฮลล์ในตัวข้านั้นเบาบางเกินไป รีเบทบรรพบุรุษได้รับของขวัญที่ทรงพลังมา แต่นางไม่ได้มีเลือดโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนั้นเมื่อมันถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาย เลือดของราชาเฮลล์ก็เลยอ่อนลงไป หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน เลือดของราชาเฮลล์ก็เบาบางซะจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่อีกแล้ว ข้าต้องการใช้พลังนรกเพื่อปลุกเลือดของราชาเฮลล์ให้ตื่นขึ้นมา แต่มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป หรือไม่อย่างนั้นสายเลือดของเขาก็ไม่ได้หลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
อี๋ซามองไปที่หานเซิ่น “แต่ตอนนี้ถึงมันจะเป็นโอกาสหนึ่งในพันล้าน พวกเราก็ต้องลองดู แต่ทว่าข้าไม่มีพลังอีกแล้ว ดังนั้นข้าต้องใช้พลังของเจ้าช่วย ถ้ามันไม่ได้ผล เจ้าและข้าก็จะตายไปด้วยกัน ถ้าเจ้าไม่อยากจะเสี่ยง เจ้าก็ควรจะรีบหนีไปจากที่นี่ซะในขณะที่มันยังมีเวลา”
“ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นถามซ้ำ
ถ้าหานเซิ่นไม่ช่วยอี๋ซา มันก็ไม่สำคัญว่าเขาจะรอดชีวิตออกไปจากสะพานนรกได้หรือไม่ เพราะราชินีจิ้งจอกจะรอเขาอยู่ที่นั่น
แต่ถ้าเขาช่วยอี๋ซากลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไป อี๋ซาเป็นอาจารย์ของเขา ถ้าเขาช่วยชีวิตเธอ อี๋ซาก็จะต้องช่วยเหลือเขาชิงสมบัติที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำของเซเคร็ดแน่
และด้วยการที่มียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอยู่ข้างกาย หานเซิ่นก็จะไม่หวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอกอีกต่อไป
อี๋ซาถอนหายใจ เธอมองเฮลล์โกสต์และพูดกับหานเซิ่น
“รูปปั้นเฮลล์โกสต์นี้คือกุญแจของสะพานนรกนี้ พลังทั้งหมดของสะพานนรกออกมาจากรูปปั้นนี่ ถ้าข้าเอาเลือดของมันมาได้ บางทีข้าอาจจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า…”
อี๋ซาหายใจเข้าลึกๆและพูดต่อ “อีกอย่างหนึ่งมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันเป็นแค่รูปปั้นที่มีเลือดนรกเท่านั้น ตอนนี้มันถูกดึงดูดด้วยพลังของข้า และพลังส่วนใหญ่ของมันก็มุ่งเน้นมาที่ข้าเพียงคนเดียว เจ้าต้องใช้โอกาสนี้เพื่อทำลายร่างกายของมันและเก็บเอาเลือดนรกมาช่วยให้ข้ากลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่โอกาสสำเร็จนั้นเป็นอะไรที่ต่ำ…”