Super God Gene – ตอนที่ 2280

เนื่องจากหานเซิ่นใช้พลังไปพอสมควร ทำให้พลังนรกในร่างกายปะทุขึ้นมา รูปปั้นเฮลล์โกสต์กระพือปีกของมัน มันบินขึ้นเหนือหัวหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็โฉบลงมาราวกับเหยี่ยว เท้าของมันยื่นออกมาเพื่อจะคว้าตัวหานเซิ่น

 

มันไม่มีทางที่เขาจะหลบหลีกได้ รูปปั้นเฮลล์โกสต์ถูกดึงเข้ามาหาพลังนรกในร่างกายหานเซิ่นราวกับเป็นแม่เหล็ก รูปปั้นโฉบลงมาและใช้กรงเล็บเท้าของมันจับตัวหานเซิ่น

 

เคร็ง!

กรงเล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ปะทะเข้ากับรังนกและพยายามที่จะบดขยี้มัน แต่มันล้มเหลว

 

ด้วยการซ่อนตัวอยู่ภายใต้รังนก หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ถ้ารังนกทนต่อการโจมตีของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าเขายังมีโอกาสอยู่

 

บางทีการอยู่ใต้รังนกนั้นทำให้พลังนรกในร่างกายของหานเซิ่นสงบลง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ปล่อยรังนกและกลับไปที่จุดเดิมของมันบนเสากลางสะพาน

 

หานเซิ่นใช้เวลาคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังของกายหยกและชกหมัดออกไปใส่รูปปั้นเฮลล์โกสต์

 

พลังของวิชากายหยกดูจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานนี้ การใช้พลังนั้นจะไม่ไปกระตุ้นพลังนรกภายในตัวของหานเซิ่น บางทีเขาอาจจะหลีกเลี่ยงการปลุกรูปปั้นเฮลล์โกสต์ให้ตื่นได้

 

แต่ไม่นานความคิดนั้นก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นอะไรที่ไร้เดียวสา ทันทีที่หานเซิ่นปรากฏตัวหลังจากการเทเลพอร์ต เขาก็ถูกส่งกระเด็นออกไปอีกครั้ง โชคดีที่เขามีรังนกในการดูดซับแรงของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เขาถึงหลีกเลี่ยงความตายมาได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ดี

 

พลังเขี้ยว…วิชาผนึกมาร… วิชาเต่า… วิชามีดใต้นภา… วิชาดาบของไผ่เดียวดาย… พลังสายฟ้า…พลังไฟ…พลังน้ำแข็ง…

 

หานเซิ่นใช้พลังทั้งหมดที่เขาจดจำได้ แต่พวกมันทั้งหมดเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะใช้พลังแบบไหน เขาก็ไม่สามารถสัมผัสรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ เฮลล์โกสต์ตบเขาทิ้งราวกับเป็นของเล่น ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของรังนก เขาก็คงจะถูกฆ่าไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

และถึงจะมีการปกป้องจากรังนก แรงกระแทกกับสะพานก็ทำให้เขาบาดเจ็บอยู่ดี บาดแผลของเขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่พวกมันก็ดูแย่มากๆ

 

“หยุดได้แล้ว ไปจากที่นี่ซะ!” อี๋ซาพูด เธอกำลังรู้สึกซับซ้อนด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดในการป้องกันตัว ดังนั้นถึงมันจะมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งดักรอเขาอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าหานเซิ่นจะหนีไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นกลับพยายามเสี่ยงเพื่อช่วยเธอออกไป นั่นทำให้อี๋ซารู้สึกซาบซึ้ง

 

อี๋ซาไม่ได้คิดว่าตัวเองปฏิบัติกับหานเซิ่นดีอะไรขนาดนั้น เธอเพียงแค่มอบทรัพยากรให้กับเขาเท่านั้น และเธอก็รับเขามาเป็นลูกศิษย์ เนื่องจากการเดิมพันที่เธอเคยทำเอาไว้กับหมอดูคนหนึ่ง มันเป็นตอนหลังที่เธอรับรู้ว่าการมีหานเซิ่นเป็นลูกศิษย์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย

 

เมื่อเธอเห็นว่าตัวเองมีลูกศิษย์ที่พร้อมจะต่อสู้ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้ง

 

อี๋ซาไม่ได้คำนึงถึงว่าหานเซิ่นต้องการทำแบบนี้เพียงเพราะเขาไม่อยากจะสูญเสียความได้เปรียบไป หานเซิ่นไม่อยากจะสูญเสียทั้งอี๋ซากับกิเลนโลหิตระดับครึ่งเทพ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่อยากจะสูญเสียมากถึงขนาดนั้น

 

หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดอยู่ ดังนั้นเขาจะไม่ตายง่ายๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เขายังพยายามต่อไป หานเซิ่นพยายามทุกวิถีทาง แต่ไม่มีพลังไหนที่สามารถเอาชนะพลังของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้

 

รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตอบสนองต่อพลังนรกเป็นอย่างดี มันเป็นเหมือนกับเหตุและผล ถ้าหานเซิ่นมีพลังนรก มันก็หมายความว่าเขาจะถูกตบกระเด็นออกไป มันไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น

 

และในทุกการโจมตี หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้แม้แต่ครั้งเดียว การคิดเกี่ยวกับการเอาเลือดนรกออกมาจากหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์นั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่สามารถทำได้

 

ขณะที่หานเซิ่นยังพยายามและถูกตบกระเด็นออกมา แม้แต่ชุดเกราะของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดที่เขากระอักออกมา สีหน้าของอี๋ซาดูเจ็บปวด

 

รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตบใส่หานเซิ่นอีกครั้งและส่งเขากระเด็นออกไปชนเข้ากับสะพาน แต่ครั้งนี้เขาซ่อนตัวอยู่ภายใต้รังนกไปสักพักหนึ่ง

 

“เจ้าตายแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่ตาย ก็ไปจากที่นี่ซะ!” อี๋ซาตะโกนด้วยความโกรธ แต่ดวงตาของเธอระยิบระยับ

 

หานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว เขายังคงซ่อนตัวอยู่ใต้รังนกเพื่อคิดเกี่ยวกับหนทางที่จะทำลายพลังนรกในตัวและการเชื่อมต่อระหว่างมันกับรูปปั้นเฮลล์โกสต์

 

“เราลองใช้พลังทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโจมตีไม่ถูกตัวมันเลยสักครั้ง อย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ด้วยการใช้มัน เราจะขจัดพลังนรกและหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายโดยรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ แต่ถ้าเราทำแบบนั้น อี๋ซาก็จะรู้ว่าเราคือดอลลาร์ นี่มันแย่จริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกกลุ้มใจ

 

หานเซิ่นไม่อยากเห็นอี๋ซาและกิเลนโลหิตถูกฆ่าตาย เขาจำเป็นต้องลองดู ถึงแม้มันจะมีโอกาสที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยก็ตาม

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดอยู่นั้น อี๋ซาก็ตะโกนอีกครั้ง “หานเซิ่น เจ้าตายแล้วหรือยัง? ออกไปจากที่นี่ซะถ้าเจ้ายังไม่ตาย”

 

“ท่านราชินี ทำไมคนอย่างข้าถึงจะตายง่ายๆ? ท่านประเมินความโชคดีของลูกศิษย์คนนี้ต่ำเกินไปแล้ว” หานเซิ่นวางรังนกลงบนหัวเหมือนกับหมวกขณะที่พูดกับอี๋ซา

 

ร่างกายและใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด และด้วยรังนกบนหัว ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ มันก็ดูเป็นอะไรที่น่าตลกอยู่ดี

 

ริมฝีปากของอี๋ซาสั่น แต่หลังจากผ่านชั่วครู่ ดวงตาของเธอก็กลับมาดูเย็นชาอีกครั้ง เธอมองไปที่หานเซิ่น ริมฝีปากของเธอค่อยๆเปิดออกและพ่นใส่เขา

 

หยดเลือดหล่นลงมาหาหานเซิ่นราวกับสายฝน หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่แน่ใจว่าอี๋ซากำลังทำอะไร

 

ภายในหยดเลือดนั้น บางสิ่งหล่นลงบนสะพานตรงหน้าหานเซิ่น

 

เมื่อหานเซิ่นมองดูดีๆ เขาก็พบว่ามันเป็นเข็มเย็บผ้าสีแดง มันเบายิ่งกว่าเส้นผมและมันก็มีความยาวพอๆกับนิ้วมือ

 

“นี่คืออะไร?” หานเซิ่นหยิบมันขึ้นมา เขาคิดว่าอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเข็มเย็บผ้านี่ดูผิดไปจากปกติ

 

มันถูกทำขึ้นมาจากระดูกแทนที่จะเป็นโลหิต มันมีขนาดเล็กมากๆ แต่มันก็กลวงข้างใน มันเป็นเหมือนกับเข็มสำหรับฉีกยามากกว่าเข็มสำหรับเย็บผ้า

 

เมื่อหานเซิ่นยกเข็มกระดูกขึ้น เขาก็รู้สึกว่ามันปลุกพลังภายในร่างกายของเขา พลังงานในตัวของเขาเริ่มหมุนเวียน

 

ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง พลังที่กำลังทำงานคือวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ซึ่งเขาเพิ่งจะเรียนรู้มาเมื่อไม่นานมานี้

 

อี๋ซาพูด “สิ่งของส่วนใหญ่ที่ข้านำติดตัวมาถูกทำลายไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่ข้าได้มาจากรูปปั้นที่ถูกทำลาย เอามันไปเป็นของที่ระลึกและไปจากที่นี่ซะ”

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้น จู่ๆหานเซิ่นก็ดูดีใจขึ้นมา “รูปปั้นที่ราชินีพูดถึง คือรูปปั้นที่อยู่ในการทดสอบด่านที่ 2 ใช่ไหม?”

 

“เลิกเสียเวลาสักที! ไปจากที่นี่ซะ! ถึงแม้ข้าจะตาย เจ้าก็ต้องชิงดาวเบลดกลับคืนมา ดูแลปราสาทของข้า ข้าไม่ต้องการให้ใครคนอื่นแตะต้องของของข้า” อี๋ซาพูด

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset