“ถ้าราชินีไม่ได้อยู่ที่นั่น มันคงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่ข้าจะอยู่ในปราสาทต่อไป?” หานเซิ่นพูด
“นั่นเป็นธุระของข้า เจ้าแค่ต้องทำตามที่ข้าบอก” อี๋ซาพูด
หานเซิ่นยิ้มให้กับอี๋ซา “ข้าต้องขออภัยราชินีด้วย ข้าเป็นคนที่ชอบอิสรภาพ ข้าไม่ชื่นชอบที่จะอยู่ในที่ที่เดียวและคอยดูแลบางสิ่ง ท่านควรจะกลับไปดูแลปราสาทของท่านด้วยตัวเอง”
อี๋ซาตอบกลับรอยยิ้มของเขาด้วยรอยยิ้มของเธอ “ถ้าข้ากลับไปได้ ข้าก็คงจะไม่ฝากเจ้าหรอก?”
เธอกำลังจะพูดอะไรอย่างอื่นอีก แต่ทันใดนั้นหานเซิ่นก็แข็งทื่อไป เขาจ้องไปที่รูปปั้นเฮลล์โกสต์อย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากนั้นเขาก็ขว้างเข็มออกไป
อี๋ซาถอนหายใจ เธอใช้เวลาอยู่นานในการศึกษาเกี่ยวกับเข็มกระดูกนั้น มันเกือบจะเป็นอะไรที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ แต่เธอไม่รู้สึกถึงพลังอะไรที่สถิตอยู่
แต่อี๋ซาก็ดูตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเข็มกระดูกพุ่งเข้าไปหารูปปั้นเฮลล์โกสต์โดยไร้การขัดขวาง รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตบหานเซิ่นร่วงลงไปกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรต่อเข็มกระดูกเลยแม้แต่นิดเดียว มันเพียงแค่มองดูเข็มกระดูกพุ่งเข้ามาถูกหน้าผากของมัน
“นี่…นี่เป็นไปได้ยังไง…?” ดวงตาของอี๋ซาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเข็มกระดูกเจาะเข้าไปในหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เข็มก็ส่องแสงสีแดงออกมา มันส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆและไม่นานรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็เริ่มสั่นไหว เสียงแตกหักของหินเริ่มจะดังขึ้นให้พวกเขาได้ยิน
ปัง!
หลังจากนั้นรูปปั้นก็ถล่มลงมาเป็นชิ้นๆ ขณะเดียวกันอี๋ซาและกิเลนโลหิตก็ถูกปล่อยตัว พวกเขาร่วงลงมาบนสะพานที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับเศษเล็กเศษน้อยของรูปปั้นที่หล่นลงมาพร้อมๆกับพวกเขา
กิเลนโลหิตได้รับบาดเจ็บ แต่มันไม่ได้สูญเสียพละกำลังไปมากมายอะไร มันพยุงตัวเองกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยเมฆสีแดงประจำตัวของมันออกมารอบๆ
อี๋ซาอยู่ในสภาพปางตายและเลือดในร่างกายของเธอก็เกือบจะแห้งเหือด เธออ่อนแออย่างมากและไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตอบสนอง
หานเซิ่นวิ่งเข้าไปรับเธอเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มลงไปกระแทกกับสะพาน
“ราชินี ดูเหมือนท่านต้องกลับไปดูแลปราสาทด้วยตัวเองจริงๆ”
ลมปราณสีม่วงที่ปกคลุมทั้งสะพานหยกเริ่มจะเบาบางลงไป รูปปั้นยังคงถล่มลงมา อี๋ซาอยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่น ขณะที่เธอมองหานเซิ่นจากด้านล่าง เธอก็เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ
เธอไม่เคยมองดูชายคนหนึ่งจากมุมต่ำมาก่อน เธอเป็นคนที่อยู่สูงกว่าเสมอ เธอไม่เคยรู้สึกถึงอะไรแบบนี้ และทันใดนั้นเธอก็เริ่มจะรู้สึกอ่อนแอยิ่งไปกว่าเดิม
ขณะที่ชิ้นสุดของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ร่วงลงมา ลมปราณสีม่วงที่ปกคลุมสะพานก็หายไปอย่างสมบูรณ์ หานเซิ่น กิเลนโลหิตและอี๋ซาเริ่มจะกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขามองเห็นสะพานหยกอื่นที่อยู่รอบๆและเครื่องเทเลพอร์ตทั้ง 13 ตรงหน้าพวกเขา
แต่ทว่าราชินีจิ้งจอกและคนอื่นๆไม่อยู่แล้ว พวกเขาเดินทางผ่านเครื่องเทเลพอร์ตและออกไปจากปราสาทนี้แล้ว
เนื่องจากกิเลนโลหิตได้รับบาดเจ็บ หานเซิ่นจึงไม่ขึ้นขี่มัน เขายังคงอุ้มอี๋ซาอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่เดินกลับออกไปจากสะพานหยก
“เจ้าจะไม่ไปเข้าเครื่องเทเลพอร์ตหรือยังไง?” อี๋ซาถามอย่างอ่อนแรง
“แน่นอนว่าข้าจะเข้าไป แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากจะลองเดินข้ามสะพานหยกอื่นๆก่อน” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นอยากจะเดินไปบนสะพานทั้ง 13 ด้วยเหตุผลง่ายๆอย่างเดียว เขาต้องการจะได้พลังของรูปปั้นแต่ละรูป
หลังจากที่อี๋ซามอบเข็มกระดูกให้กับเขา เขาก็รู้สึกตัวว่าเข็มกระดูกเป็นสมบัติซีโน่เจเนอิคที่เอาไว้ใช้ร่วมกับวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ถ้าเขาใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรด้วยตัวมันเอง เขาจำเป็นต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ซะก่อน เขาไม่สามารถใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเพื่อขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้ไปได้จนกว่าคู่ต่อสู้จะไม่เหลือพลังพอที่จะต่อต้าน
ในการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งนั้น มันมีโอกาสสูงที่หานเซิ่นจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ในเวลาแบบนั้นวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรก็จะไร้ประโยชน์
แต่ด้วยเข็มกระดูกนี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หานเซิ่นสามารถอาบเข็มกระดูกด้วยพลังของวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถใส่เข็มเข้าไปในร่างกายของคู่ต่อสู้ เข็มกระดูกนั้นจะทำการขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้แทนเขา หานเซิ่นจำเป็นแค่ต้องแทงเข็มนั่นเข้าไปในร่างของศัตรู
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเข็มกระดูกก็ไม่ได้ทรงพลังอะไร หานเซิ่นยังคงต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อแทงมันเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย แต่การแทงเข็มเข้าไปในตัวศัตรูก็ยังเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการต้องเอาชนะคู่ต่อสู้อยู่ดี
รูปปั้นบนสะพานหยกทั้ง 13 ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับการใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรร่วมกับเข็มกระดูก เข็มกระดูกนั้นสามารถแทงทะลุเข้าไปในรูปปั้นได้อย่างง่ายดายและช่วงชิงเอาโลหิตชีพจรที่ซ่อนอยู่ภายในพวกมันมา หานเซิ่นแค่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกันกับที่ทำกับรูปปั้นเฮลล์โกสต์
ถึงมันจะเป็นแค่หนึ่งหยด แต่มันก็เป็นโลหิตชีพจรพลังนรก และมันก็เป็นพลังระดับเทพเจ้าอีกด้วย
มันยังมีบางสิ่งที่เหมือนๆกันบนสะพานหยกอีก 12 สะพาน ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่คิดจะพลาดโอกาสนี้ไป
หานเซิ่นเปลี่ยนตำแหน่งและแบกอี๋ซาบนหลังแทน เขาเดินขึ้นไปบนอีกสะพานหยกหนึ่งและมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดคิด เมื่อเขาไปถึงรูปปั้นที่อยู่ใจกลางสะพานและใช้เข็มกระดูกเพื่อขโมยโลหิตชีพจรที่อยู่ภายในรูปปั้น รูปปั้นก็จะถล่มลงมาและสะพานก็จะสูญเสียการป้องกันไป มันกลายเป็นเพียงแค่สะพานหยกธรรมดาๆ
หานเซิ่นเดินไปบนสะพานที่เหลือและชิงเอาโลหิตชีพจรจากรูปปั้นแต่ละรูป อี๋ซาประหลาดใจอย่างมาก เธอไม่รู้เลยว่าทำไมเข็มกระดูกถึงได้ทรงพลังนักเมื่อไปอยู่ในมือหานเซิ่น
อี๋ซาเก็บเข็มกระดูกมาเพราะคิดว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่เธอไม่รู้เลยว่าเข็มกระดูกจำเป็นต้องใช้ควบคู่กับวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร เธอไม่ได้เรียนรู้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเหมือนอย่างหานเซิ่น ดังนั้นนอกจากความทนทานของมันแล้ว เข็มกระดูกก็ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่นเมื่ออยู่ในมือของเธอ
รูปปั้นของผู้นำเซเคร็ดถูกทำลายไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้รับเข็มกระดูกมาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้อี๋ซาเลือกจะมอบมันให้กับหานเซิ่น
ผู้นำของเซเคร็ดได้ตั้งด่านทดสอบเอาไว้พร้อมกับทิ้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในทุกการทดสอบ สิ่งต่างๆที่ถูกทิ้งเอาไว้เชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หานเซิ่นยังคิดไม่ออก แผนการที่แท้จริงของผู้นำเซเคร็ดนั้นยังคงเป็นปริศนา
เงินไซซี วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร เข็มกระดูก พลังของโลหิตชีพจรทั้ง 13 พวกมันต่างก็เป็นสมบัติที่หายากและล้ำค่าทั้งนั้น สมบัติของผู้นำเซเคร็ดเหล่านั้นถูกมอบผ่านการทดสอบของเขา แต่ยังไม่มีใครรู้สึกตัวว่าสมบัติของผู้นำเซเคร็ดเป็นอะไรที่น่ากลัวถึงเพียงไหน
“ราชินี ท่านกลัวเข็มไหม?” หานเซิ่นถามอี๋ซา
อี๋ซาดูตกใจ เธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง
“ข้ากำลังถามว่าท่านกลัวการถูกทิ่มด้วยเข็มหรือเปล่า?” หานเซิ่นกระพริบตาและถามอีกครั้ง
“เจ้าจะทิ่มข้าอย่างนั้นหรอ?” อี๋ซามองไปที่หานเซิ่น
หานเซิ่นยกเข็มกระดูกของเขาขึ้นขณะที่ยิ้มให้กับอี๋ซา “หลับตาถ้าท่านกลัว มันจะเจ็บเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ทิ่มเข็มกระดูกเข้าไปที่อกของอี๋ซา หยดเลือดของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ไหลออกมาและรวมเข้ากับเลือดของอี๋ซา
ถ้าหานเซิ่นต้องการจะอยู่รอด เขาจำเป็นต้องกำจัดราชินีจิ้งจอก และนอกจากจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเหมือนกัน มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ราชินีจิ้งจอกจะพ่ายแพ้
ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้โลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าที่ได้รับมา พลังที่แท้จริงของเขาก็ไม่ใช่ระดับเทพเจ้าอยู่ดี แต่ทว่าอี๋ซาต่างออกไป เธออยู่ห่างจากการเป็นระดับเทพเจ้าเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น การได้รับโลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์จะช่วยผลักดันเธอสู่การเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะชิงสมบัติของผู้นำเซเคร็ดมาครอบครอง