ตูม!
หานเซิ่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มีเสียงดังขึ้นมาขัดเขาซะก่อน หลังจากนั้นวาฬขาวก็พลิกตัวอย่างกะทันหันและเริ่มจะจมลงในทะเล
พลังที่เลวร้ายมากมายพุ่งเข้ามาถูกวาฬขาวอย่างต่อเนื่องและแต่ละครั้งก็เหมือนกับว่ามีฟ้าผ่าลงมาใส่
โชคดีที่วาฬขาวทนทานอย่างมาก คลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ของอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกไม่เพียงพอที่จะทำลายมัน แต่ถึงอย่างนั้นแรงกระแทกก็ผลักมันให้จมลึกลงไปในทะเล
ตูม!
วาฬขาวสั่นสะเทือนราวกับว่ามันเพิ่งจะถูกชนกับอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินสิ่งของบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ถูกทำลาย จากนั้นทุกอย่างก็เงียบไปและวาฬขาวก็ไม่ได้ถูกซัดกระเด็นไปมาอีก
เมื่อมองผ่านดวงตาของวาฬขาวออกไป พวกเขามองไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำทะเลและกองหิน มันดูเหมือนกับว่าวาฬขาวจะถูกทับด้วยกองก้อนหิน
น้ำทะเลรอบๆพวกเขาซัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้พวกเขาจะลงมาลึกมากพอสมควรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงการต่อสู้อยู่ดี พวกเขายังคงเห็นคลื่นกระแทกพุ่งเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ทว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นเบาบางลงไปมาก และตอนนี้เมื่อวาฬขาวถูกทับด้วยก้อนหิน มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอีก นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“วาฬขาวนี้เป็นเครื่องจักร!” ครามมองไปรอบๆห้องควบคุมหลักด้วยความแปลกใจ เรื่องนี่นั้นอยู่เหนือจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
กุนซือไวท์มองไปรอบๆด้วยความสนใจ
บิ๊กคิงเบลล์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของยังสามารถควบคุมวาฬขาวได้ ดังนั้นหานเซิ่นคิดว่ากุนซือไวท์เองก็สามารถทำได้เช่นกัน
ไม่ว่าใครก็สามารถควบคุมเครื่องจักรแบบนั้นได้ ตราบใดที่มันไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ เพราะยังไงมันก็ควรจะทำงานในหลักการเดียวกันกับเครื่องจักรอื่นๆ
“อย่าแตะต้องมัน!” กุนซือไวท์ตะโกนขณะที่หานเซิ่นกำลังจะเคลื่อนย้ายโครงกระดูกบนเก้าอี้บัญชาการ
หานเซิ่นหยุดและรอให้กุนซือไวท์กับครามเข้ามาในห้องควบคุม
“กุนซือไวท์ เจ้ารู้อะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์มองไปที่โครงกระดูกและพูด “ถ้าข้าเข้าใจถูกต้องล่ะก็ โครงกระดูกนี้คือกุญแจที่จะทำให้เราควบคุมวาฬขาวนี้ได้”
หานเซิ่นแปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาเห็นบิ๊กคิงเบลล์กระโดดไปมาบนแผงควบคุม แต่เขาไม่ได้คิดอะไรกับมันมาก เนื่องจากเจ้าระฆังนั้นสามารถควบคุมวาฬขาวได้
แต่ตอนนี้หานเซิ่นเห็นในสิ่งที่มองข้ามไป บิ๊กคิงเบลล์ต้องใช้วาฬขาวนี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่มันก็ยังไม่เคลื่อนย้ายโครงกระดูกไปที่อื่น มันต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่
“กุนซือไวท์ เจ้าคิดว่าเทคโนโลยีนี่มาจากที่ไหนกัน?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์ส่ายหัว “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้ ข้าไม่รู้วิธีที่จะควบคุมมันเช่นกัน”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ กุนซือไวท์ก็มองไปที่โครงกระดูกและพูด
“แต่เมื่อดูจากชุดของโครงกระดูกนี่แล้ว คนๆนี้ต้องเชื่อมต่อกับระบบควบคุมของเครื่องจักรนี่ โครงกระดูกของเขาจะต้องเป็นกุญแจที่ใช้ควบคุมวาฬขาวนี้ แต่ข้าบอกไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราเคลื่อนย้ายมัน”
หานเซิ่นตรวจดูชุดของโครงกระดูก เครื่องแบบของโครงกระดูกเป็นสีเงินและดำ และนอกจากส่วนหัวแล้วทั้งร่างกายของโครงกระดูกถูกรัดแน่น
โครงกระดูกสวมหน้ากากโปร่งแสงที่เชื่อมต่อกับเครื่องแบบ มันไม่มีรอยต่อที่มองเห็นได้อยู่เลย
หานเซิ่นใช้เวลาสังเกตมันอยู่สักพัก และถึงเขาจะหาการเชื่อมต่อระหว่างเก้าอี้กับเครื่องแบบไม่ได้ แต่เขาก็คิดว่าเครื่องแบบและวาฬขาวต้องเชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจดูเครื่องแบบ แผงควบคุมและเก้าอี้
มันมีโบราณวัตถุที่ทรงพลังมากมายที่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีบางอย่างล่ะก็ วิญญาณอสูรเนตรม่วงก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์อย่างมากในการดูว่ามันถูกสร้างขึ้นมายังไงและจุดประสงค์ของมันคืออะไร
ด้วยวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นมองเห็นทั้งกระบวนในการสร้างวาฬขาวขึ้นมา สิ่งที่เห็นทำให้หานเซิ่นค่อนข้างประหลาดใจ
วาฬขาวเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมาอย่างไม่ต้องสงสัย กระบวนการสร้างของมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆและมันก็ยากยิ่งกว่าการสร้างอาวุธระดับเทพเจ้าซะอีก
ที่มันซับซ้อนก็เพราะว่ามันมีวิทยาศาสตร์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกปัญญาที่เกิดขึ้นมาในแต่ละส่วนจะถูกแก้ไขด้วยใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย
ถ้าหานเซิ่นสามารถวิเคราะห์เทคโนโลยีของวาฬขาวนี้ได้ การจะยกระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสหพันธ์ก็จะเป็นเรื่องง่ายมากๆ
และนั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจที่สุด ขณะที่หานเซิ่นมองดูการสร้างวาฬขาว เขาก็เห็นเงาของด้วง
ถึงแม้วาฬขาวจะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าด้วงของเขา แต่แนวคิดของพวกมันคล้ายคลึงกัน วาฬขาวแค่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเท่านั้น เทคโนโลยีของวาฬขาวล้ำหน้าด้วงของเขาในทุกๆด้าน ทุกรายละเอียดของมันเหนือกว่าด้วงของเขาด้วยเช่นกัน
‘นี่คือเทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์หรอเนี่ย?’ หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ
‘เทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์ก้าวหน้าถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ? นี่พวกเขาสร้างเครื่องจักรระดับของเทพเจ้าได้เลยหรอเนี่ย? นั่นเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ’ หานเซิ่นคิด
นั่นจะอธิบายว่าทำไมคริสตัลไลเซอร์ถึงท้าสู้กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้ทั้งๆที่ขาดแคลนยอดฝีมือระดับเทพเจ้า การมีเทคโนโลยีแบบนี้คงจะมอบความมั่นใจให้กับพวกเขา
แต่ท้ายที่สุดแล้วความอวดดีและโอหังของพวกเขาก็นำไปสู่ความล้มเหลว ผลที่ตามมาก็คือทั้งเผ่าพันธุ์เกือบที่จะถูกทำลาย
“เป็นอะไรที่น่าเสียดายจริงๆ ถ้าคริสตัลไลเซอร์ท้าชิงเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงพลังน้อยกว่า พวกเขาก็คงจะจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ได้อย่างแน่นอน และหลังจากนั้นพวกเขาก็จะก้าวหน้าต่อไปอีก พวกเขาจะกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์สูงสุดในจักรวาลจีโน” หานเซิ่นถอนหายใจ
แต่หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าถ้าคริสตัลไลเซอร์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาก็จะดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีของพวกเขาต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องเปลี่ยนยีนและชีพจรโลหิตของตัวเอง พวกเขาอาจจะไม่ทำการทดลองเกี่ยวกับยีน และถ้าเป็นแบบนั้นมนุษย์ก็จะไม่กำเนิดขึ้นมา
“หานเซิ่น เจ้ายังมีโบราณวัตถุอยู่ใช่ไหม?” กุนซือไวท์ถามหานเซิ่น
“ทำไมเจ้าถึงถามข้าในเรื่องนี้?” หานเซิ่นหันไปมองกุนซือไวท์
กุนซือไวท์ยิ้มและพูด “ข้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ก็เพื่อให้เจ้าตามพวกเราได้ และนั่นหมายความว่าข้าจะร่วมมือเจ้าต่อไป ก่อนที่การต่อสู้พวกนางจะรู้ผลแพ้ชนะ พวกเราควรจะรีบไปสำรวจเมืองศักดิ์สิทธิ์กัน”
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะไล่ตามเจ้าได้?” หานเซิ่นถามกุนซือไวท์พร้อมกับขมวดคิ้ว
“เพราะว่าข้าเชื่อในตัวเจ้า” กุนซือไวท์พูด
หานเซิ่นจ้องไปที่กุนซือไวท์ เขาไม่เชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะสนิทสนมอะไรกัน แต่กุนซือไวท์กลับพูดว่าเชื่อมั่นในตัวของเขา หานเซิ่นจ้องมองไปในดวงตาของกุนซือไวท์และยอมรับในความจริงใจของอีกฝ่าย ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อหานเซิ่นมองลึกเข้าไปในดวงตาของกุนซือไวท์ เขามีความรู้สึกที่คุ้นเคย มันเหมือนกับว่าพวกเขาเคยพบกันเมื่อนานมาแล้ว