Super God Gene – ตอนที่ 2288

ความรู้สึกที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อเขามองไปที่กุนซือไวท์อย่างละเอียดอีกครั้ง ชายคนนั้นก็ดูเหมือนกับคนแปลกหน้า กุนซือไวท์เป็นคนของเอ็กซ์ตรีมคิง หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับเอ็กซ์ตรีมคิง และมันก็ไม่มีใครในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิงที่เขาใกล้ชิดด้วย ไม่มีใครที่จะกล่าวอ้างว่ากุนซือไวท์เป็นเพื่อนสนิทของเขาเช่นกัน

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ หานเซิ่นก็คำนึงถึงข้อเสนอของกุนซือไวท์

 

ข้อเสนอของกุนซือไวท์เป็นอะไรที่ยั่วใจหานเซิ่นอย่างมาก เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็ไม่แน่ใจว่าอี๋ซาจะเอาชนะราชินีจิ้งจอกได้

 

และถึงอี๋ซาจะเป็นฝ่ายชนะและเดินทางร่วมกับเขาต่อไป เขาก็ต้องแบ่งสมบัติอะไรก็ตามที่ได้กับเธอ

 

พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และพวกเขาก็ใกล้ชิดมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงสร้างขึ้นมาจากรากฐานที่อี๋ซาไม่รู้ว่าหานเซิ่นคือดอลลาร์ผู้ลึกลับ ถ้าอี๋ซารู้ว่าหานเซิ่นคือดอลลาร์ล่ะก็ มันก็บอกไม่ได้ว่าเธอจะทำอะไร

 

หานเซิ่นตัดสินใจไปสำรวจคลังสมบัติของผู้นำเซเคร็ดร่วมกับกุนซือไวท์ เขาไม่จำเป็นต้องวางแผนทุกอย่างล่วงหน้า เขาสามารถทรยศใครเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ เขาสามารถชิงสิ่งของไหนที่จำเป็นเมื่อเวลานั้นมาถึง ถ้าหานเซิ่นจำเป็นต้องทิ้งพวกเขาทั้งสองคน เขาก็จะทำมันโดยไม่ลังเล

 

มันเป็นแนวคิดของนักธุรกิจ พวกเขาสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกเขาจะร่วมมือกันก็ต่อเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องใช้กันและกัน

 

หานเซิ่นจำเป็นต้องพึ่งการนำทางของกุนซือไวท์เพื่อไปให้ถึงคลังสมบัติอย่างปลอดภัย ส่วนกุนซือไวท์ก็จำเป็นต้องพึ่งโบราณวัตถุที่หานเซิ่นครอบครองอยู่ พวกเขาทั้งคู่ใช้กันและกันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

 

และเมื่อหานเซิ่นพบสมบัติ ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ทรยศพวกเขา มันก็เป็นไปได้สูงที่ครามและกุนซือไวท์จะเป็นฝ่ายทรยศเขาแทน

 

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหานเซิ่นสามารถทรยศกุนซือไวท์ได้ แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นต่อหน้าราชินีจิ้งจอกและอี๋ซาได้

 

“เวลามีไม่มาก ถ้าการต่อสู้มีผู้ชนะเมื่อไหร่ พวกเราก็จะไม่มีโอกาสได้สำรวจเมืองนั่น” กุนซือไวท์พูดกับหานเซิ่น

 

หานเซิ่นเงียบไป เขามองไปที่กุนซือไวท์และถาม “ในตอนที่พวกเจ้าทำลายด่านทดสอบที่ 4 พวกเจ้าพบอะไรหรือเปล่า?”

 

หานเซิ่นสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในด่านทดสอบที่ 4 อย่างมาก มันมีโอกาสสูงที่สิ่งของอะไรก็ตามที่ได้รับจากที่นั่นจะมีประโยชน์เมื่อพวกเขาไปถึงคลังสมบัติ

 

กุนซือไวท์เงียบไป หลังจากนั้นเขาก็พูด “เมื่อราชินีจิ้งจอกทำลาย 36 เสาหินในด่านทดสอบที่ 4 นางพบขลุ่ยหยกอยู่ภายในเสาหินสุดท้าย”

 

“ขลุ่ยหยกนั่นไม่ได้เป็นของราชินีจิ้งจอกตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นนึกขึ้นได้ว่าราชินีจิ้งจอกถูกขังเอาไว้อยู่ภายในปราสาทของโกสต์โบนมาเป็นเวลานาน หานเซิ่นไม่เห็นขลุ่ยไหนอยู่ที่นั่น ดังนั้นจู่ๆเธอจะมีมันอยู่ได้ยังไง? มันจะสมเหตุสมผลถ้าเธอได้มันมาจากด่านทดสอบที่ 4 แต่หานเซิ่นยังไม่รู้ว่าขลุ่ยหยกนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาได้รับจากด่านทดสอบอื่นยังไง

 

กุนซือไวท์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่รอการตัดสินใจของหานเซิ่น

 

หานเซิ่นครุ่นคิด เขาใช้นิ้วมือชี้ไปที่โครงกระดูกบนเก้าอี้
“ทะเลนี่ดูพิเศษ เขาดำลงไปในทะเลลึกนี้ด้วยเจตนาที่จะไปให้ถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี่ตั้งแต่แรก”

 

“ข้ารู้” กุนซือไวท์พูดอย่างง่ายๆ
“นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราจำเป็นต้องมีโบราณวัตถุ มันจะอนุญาตให้พวกเราไปถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างปลอดภัย”

 

“โอเค ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปสำรวจเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน” หานเซิ่นทำการตัดสินใจ

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แต่เห็นได้ชัดว่ากุนซือไวท์นั่นรู้ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงตัดสินใจติดตามกุนซือไวท์และครามไป พวกเขาเดินทางออกจากวาฬขาวและดำลึกลงไปอีก

 

คลื่นทะเลซัดลงมาอย่างรุนแรง มันเห็นได้ชัดว่าราชินีจิ้งจอกและอี๋ซายังคงต่อสู้กันอยู่ มันคงจะใช้เวลาอีกนานก่อนที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้

 

หานเซิ่นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอี๋ซา ด้วยความสามารถของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่สามารถเอาชนะราชินีจิ้งจอกได้ เขาก็ไม่คิดว่าราชินีจิ้งจอกจะฆ่าอี๋ซาได้เช่นกัน

 

หานเซิ่นเรียนรู้วิธีที่จะควบคุมและขับวาฬขาวเรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องใช้มันในตอนนี้ แต่บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า

 

ด้วยการนำทางของกุนซือไวท์ หานเซิ่นดำลึกลงไปเรื่อยๆและยิ่งพวกเขาดำลงไปลึกมากเท่าไหร่ ทะเลก็เงียบสงบขึ้นกว่าเดิม คลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ของอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกมาไม่ถึงระดับน้ำที่พวกเขาอยู่

 

“ถ้าการคำนวณของข้าถูกต้องล่ะก็ สมบัติของผู้นำเซเคร็ดควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในร่องนี้” กุนซือไวท์ชี้ไปที่ร่องใต้น้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า

 

หานเซิ่นมองลงไปในร่องและไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด มันเป็นเหมือนกับเหวไร้ก้น และถึงจะใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง เขาก็ยังไม่เห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ภายในอยู่ดี

 

กุนซือไวท์และครามว่ายลงไปในนั้นอย่างไม่ลังเล หานเซิ่นขี่หลังกิเลนโลหิตตามพวกเขาไป พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปในร่องลึกอันมืดมิด

 

ลงมาได้ไม่นาน หานเซิ่นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แผ่นหินในกระเป๋าของเขาเริ่มจะร้อนขึ้นมา

 

หานเซิ่นนำแผ่นหินออกมาและเมื่อเขาทำอย่างนั้น แผ่นหินก็ส่องสว่างด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ มันฉายแสงไปท่ามกลางความมืดมิดของสถานที่แห่งนั้น

 

“เป็นอย่างที่ข้าคิด! มีเพียงแค่คนที่มีโบราณวัตถุอยู่เท่านั้น ถึงจะเข้ามาในสถานที่ที่เก็บสมบัติที่แท้จริงของผู้นำเซเคร็ดได้”
กุนซือไวท์ดูเหมือนจะคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว เขามองไปที่แผ่นหินขณะที่พูดออกมา

 

พวกเขาทั้ง 3 และอสูรอีกหนึ่งดำลึกลงไปอีก น้ำรอบๆตัวพวกเขาทั้งมืดและน่าขนลุก มันไม่สำคัญว่าสายตาของพวกเขาจะดีสักแค่ไหน พวกเขามองเห็นได้แค่ภายในแสงสว่างที่แผ่นหินมอบให้พวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมืดมิด ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่มองเห็นได้ราวกับว่าทั้งโลกเปลี่ยนเป็นสีดำ

 

พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลของศาสตร์มายาหรือไม่ แต่หานเซิ่นสัมผัสได้ว่ามีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองพวกเขาจากความมืดมิด

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หานเซิ่นไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองดำลึกมามากขนาดไหนแล้ว แต่ร่องนี้เป็นเหมือนกับเหวที่ไร้ก้น ไม่ว่าพวกเขาจะดำลงมาลึกสักแค่ไหน มันก็ไม่มีปลายทางปรากฏให้เห็น

 

เมื่อเขามองขึ้นไปด้านบน เขาก็พบว่ามันมืดมิดเช่นเดียวกัน แสงนั้นไม่สามารถลงมาในระดับน้ำที่ลึกขนาดนี้ได้

 

พวกเขาสร้างคลื่นเล็กๆภายในน้ำขณะที่ว่ายไป แต่มันไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นอยู่เลย คลื่นกระแทกของการต่อสู้ระหว่างอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกมาไม่ถึงพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

 

เนื่องจากที่นี่มืดเกินไป แม้แต่กิเลนโลหิตเองก็เริ่มจะเป็นกังวล มันส่งเสียงขู่เบาๆออกมาขณะที่ว่ายไป

 

หานเซิ่นใช้มือของเขาลูบคอของกิเลนโลหิตเพื่อทำให้มันผ่อนคลาย

 

ครามเองก็ดูกังวลเล็กน้อยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขากำลังรู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกับกิเลนโลหิต พวกเขารู้สึกว่าตัวเองถูกมองโดยสายตาจากในความมืดมิด แต่ทว่ากุนซือไวท์ยังคงดูใจเย็น

 

หานเซิ่นแน่ใจว่ามีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่นอกสายตาของพวกเขา ถ้ามันไม่ใช่เพราะเขาถือแผ่นหินอยู่ กลุ่มของพวกเขาก็คงจะประสบชะตากรรมเดียวกับเจ้าของวาฬขาวเรียบร้อยแล้ว

 

ทันใดนั้นก็ดูเหมือนกับว่ามีแสงสว่างเบลอๆปรากฏขึ้นใต้เท้าของหานเซิ่น เขาเพ่งความสนใจไปที่วงแหวนน้อยๆนั้น

 

แต่แสงสว่างนั้นเบลอเกินไป เขามองเห็นมันไม่ชัดเจน

 

กุนซือไวท์และครามเองก็เห็นแสงสว่างนั้นเช่นกัน พวกเขาจับจ้องไปที่มัน

 

ขณะที่ร่างกายของพวกเขาดำลึกลงไป แสงที่เบลอๆก็ชัดเจนและขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดเมื่อหานเซิ่นได้เห็นว่าแสงสว่างนั้นคืออะไร เขาก็อ้าปากค้าง

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset